วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Personal Tax: โครงสร้างใหม่ปี 2557

ขอโทษเหล่าแฟนๆ SMEfriend ที่หายหน้าหายตาไปหลายเดือน ต้องยอมรับผิดจริงๆเพราะงานประจำรัดตัวมากจนไม่มีเรี่ยวแรง แต่ยังไงก็อยากให้ทุกคนติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ รับรองจะเพิ่มคุณภาพขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน

และแล้วครม.ของนายกปูก็คลอดมาตรการภาษีบุคคลธรรมดาออกมาใหม่เอาใจชนชั้นกลางเป็นหลัก โดยทางรมต.กิตติรัตน์อ้างว่าการปรับอัตราภาษีครั้งนี้มีจุประสงค์คือ

1. สร้างความยุติธรรมให้กับบุคคลรายได้ปานกลาง
2. ลดภาระด้านภาษีให้กับชนชั้นแรงงาน
3. กระตุ้นการบริโภค เนื่องจากการจ่ายภาษีที่ลดลงจะนำไปกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เงินรายได้เข้ารัฐมากกว่าที่เสียไปสองหมื่นกว่าล้าน

ประเด็นสำคัญคือการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากว่าต้องยอมรับปีนี้และปีหน้าเป็นปีที่การส่งออกของภาคธุรกิจนั้นไม่เป็นไปตามเป้า ตลาดยุโรปและอเมริกา แม้แต่จีนก็หยุดชะงักการบริโภคเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศยุโรปและอเมริกา ดังนั้นการหาหนทางช่วยภาคส่งออกอันดับแรกก็คือการหาแหล่งตลาดใหม่ ซึ่งเป็นประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกา แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่ากับกลุ่มแรก ดังนั้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศนี่ล่ะจะเป็นตัวช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมาก

เราลองมาดูตารางอัตราภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ที่จะเริ่มมีผลในปี 2557

อัตราภาษีเก่า
ขอบคุณภาพจาก http://thaipublica.org

อัตราภาษีใหม่

ขอบคุณภาพจาก edtguide.com

จากอัตราภาษีใหม่นี้จะพบว่าอัตราใหม่นี้นั้นเอาใจคนชนชั้นกลางที่เป็นแรงงาน เนื่องจากส่วนใหญ่รายได้ 0-30,000 บาทต่อเดือน จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศจะเสียภาษีอัตราที่น้อยลง โดยคนกลุ่มนี้จะมีเงินเหลือเพื่อไปจับจ่ายใช้สอยสร้างรายได้กลับมาให้รัฐในรูปแบบของภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT (7%) ส่วนกลุ่มบุคคลรายได้มากขึ้นไปอีกก็ได้รับอานิสงได้เสียภาษีลดลงด้วย ส่วนบุคคลที่มีรายได้ประมาณ 300,000-400,000 บาทขึ้นไปก็ได้ลดอัตราลงมานิดหน่อยเพราะถือว่าพวกนี้ร่ำรวยอยู่แล้ว

สุดท้ายนี้ก็หวังว่าการปรับอัตราภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในให้สูงขึ้นอย่างที่หวังก็แล้วกัน ส่วนปีนี้ (2555) ใครยังไม่ได้ลดหย่อนภาษีจากประกันชีวิต กองทุน LTF/ RMF อะไรก็แล้วแต่ก็ขอให้รีบๆหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะอดใช้สิทธิ...

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

Personal Tax: ภาษีคนเดินดิน ภาค 2 "หนทางลดหย่อน"

กลับมาอีกครั้งหลังหายหน้าหายตาไปนานเหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าอยากจะแชร์วสิ่งดีๆเลยต้องหาเวลาว่างกลับมาอีกครั้งกับเรื่อง "ภาษี" เรื่องง่ายๆที่หลายคนมองข้าม มาต่อกันดีกว่านะครับเพื่อไม่ให้เสียเวลา

ส่วนลดหย่อน
ส่วนลดหย่อนนั้นทางสรรพากรมีไว้เพื่อให้เราใช้ลดการเสียภาษีให้น้อยลง แต่ไปเพิ่มผลด้านอื่นๆให้กับประเทศ ช่วยให้เกิดการลงทุนมากขึ้น เรามาลองดูว่าเราจะลดหย่อนอะไรได้บ้าง

1) ลดหย่อนส่วนตัว ผู้เสียภาษีได้สิทธิลดหย่อน 30,000 บาท ถ้ามีภรรยาหรือสามีที่ไม่ได้มีรายได้หรือมีรายได้แต่คิดภาษีรวมกันก็ลดหย่อนได้อีก 30,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท (หลายๆคนคงคิดหาคู่สมรสกันเป็นแถว)
2) ลดหย่อนของบุตร ลดได้ 15,000 บาทและ 17,000 บาทสำหรับบุตรศึกษาต่างประเทศและในประเทศตามลำดับ โดยมีข้อแม้ว่า ต้องอายุไม่เกิน 20 ปี หากเกินจะต้องศึกษาอยู่ระดับอุดมศึกษาแต่ได้ไม่เกิน 25 ปี (อยากลดได้เยอะต้องให้ลูกๆเรียนต่อปริญญาโทและเอกกันนะครับ)
ปล. ถ้าคู่สามีแยกกันคิดภาษีได้กันคนละครึ่งนะครับ
3) บิดามารดา (อายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่มีเงินได้ด้วย) แบ่งออกเป็นบิดามารดาของผู้เสียภาษีและคู่สมรส ได้ 30,000 บาท รวมถึงเบี้ยประกันสุขภาพบิดามาราดาได้อีก 30,000 บาท ถ้าแยกกันเสียก็คิดบิดามารดาของใครของมัน
4) ลดหย่อนเพื่อสังคม คือคนพิการ (ที่มีบัตรลงทะเบียนเป็นผู้พิการ) ได้คนละ 60,000 บาท ถ้าสามีภรรยาอุปถัมป์ด้วยกันก็ได้คนละ 30,000 บาท (อันนี้ดีทั้งได้บุญและลดหย่อนภาษีด้วย
5) สวัสดิการส่วนตัว
ประกันชีวิต ลดหย่อนตามจริงของเบี้ยประกันที่เสียไป แต่จะต้องมีอายุกรมธรรม์ 10 ปีขึ้นไปและมีผลตอบแทนไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกัน (หลายๆคนชอบทำประกันเพื่อลดหย่อนกันมาก
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท หากเกินให้ไปหักกับค่าใช้จ่าย (แนะนำพนักงานบริษัทควรทำไว้)
กองทุนรวมระยะยาว ลดหย่อนได้เท่ากับที่ลงทุนซื้อกองทุนไปแต่ไม่เกิน 15%ของรายได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 500,000 บาท
ดอกเบี้ยกู้ยืมจากอสังหาริมทรัพย์ ลดหย่อนตามที่จ่ายจริงในปีเสียภาษีแต่ได้ไม่เกิน 100,000 บาท
กองทุนประกันสังคม ลดหย่อนตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 9,000 บาท

เงินบริจาค
ก่อนที่เราจะนำเงินที่หักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนไปคำนวณภาษี เราสามารถนำยอดเงินบริจาคให้กับภาคส่วนต่างๆของรัฐ (ที่สรรพากรกำหนดไว้) ทั้งด้านการศึกษา สุขอนามัย การกีฬาและอื่นๆอีกมากมาย (ลองโหลดจาก rd.co.th) โดยสามารถนำไปหักก่อนคิดภาษีได้ตามจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินที่หักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนภาษีแล้ว ส่วนเงินบริจาคพรรคการเมืองนั้นไม่คิดรวมนะครับ

เงินได้สุทธิ
หลังจากหักค่าใช้จ่าย ลดหย่อนและเงินบริจาคแล้ว เราก็สามารถนำเงินที่ได้หรือที่เรียกว่า "เงินได้สุทธิ" ไปคำนวณหาภาษีได้

เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน - เงินบริจาค


หลักการคำนวณภาษีก็ง่ายๆไม่ยากผมก็ขอไม่เอ่ยอะไรมากก็แล้วกัน

สรุปในภาคนี้ก็จะพบว่า จำนวนเงินการเสียภาษีบุคคลธรรมดานั้นจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเงินได้สุทธิ ยิ่งเงินได้สุทธิสูงๆ ฐานอัตราการเสียภาษีก็สูงตามด้วย ดังนั้นถ้าอยากเสียภาษีน้อย ก็ต้องมีเงินได้สุทธิน้อยๆ ซึ่งจากสมการด้านบน ก็จะได้ว่าถ้าต้องการเงินได้สุทธิน้อยๆ ก็ต้องเพิ่มค่าลดหย่อนและเงินบริจาคมากๆ นี่ก็เป็นหลักง่ายๆ

หวังว่าภาคนี้จะให้ประโยชน์สำหรับคนทำงานที่เสียภาษีทุกคน เห็นมั้ยครับไม่ต้องเลี่ยงภาษีก็เสียภาษีน้อยๆได้ ช่วยชาติและได้บุญด้วย พบกันใหม่ครั้งหน้า...สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

Personal Tax: ภาษีคนเดินดิน ภาค 1 "รู้จักโครงสร้าง"

สวัสดีชาว SMEfriend กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน (แต่คงจะไม่ลืมกันนะครับ) ก็เรื่องเดิมๆคืองานประจำมันรัดตัวเหลือเกิน แต่วันนี้กลับมาเพราะใจมันเรียกร้องให้เขียนเหลือเกิน เพราะเป็นข่าวหน้าหนึ่งทั้งนสพ.ปกติและนสพ.บันเทิงกับประเด็นดาราสาวเลี่ยงภาษีโดยให้ใครก็ไม่รู้มารับเช็คแล้วใช้ชื่อแทน ซึ่งจริงเท็จยังไงผมไม่อาจจะไปก้าวก่ายมาก เพราะถือเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ใครจ่ายจริงก็ช่วยชาติ ใครเลี่ยงภาษีก็อย่าบอกว่ารักประเทศเลย แต่ประเด็นที่จะพูดถึงก็คือ "ไม่เลี่ยง แต่จ่ายน้อยลงได้มั้ย" ซึ่งจะให้เขียนทีเดียวหมดก็คงไม่ไหว ผมก็ขอแตกประเด็นเป็นหลายๆประเด็นดังนี้นะครับ
1) โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา (Personal Income Tax) ประกอบด้วยอะไรยังไงบ้าง
2) ทำอย่างไรจะเสียภาษีลดลง มีวิธีไหนบ้าง
สำหรับภาคนี้ก็ขอเริ่ม introduce เรื่องภาษีบุคคลธรรมดาของสยามประเทศเรากันเลยนะครับ

ภาษีบุคคลธรรมดา
ภาษีบุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่ให้บุคคลทั่วไปที่มีรายได้จะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ โดยผู้ที่ประกอบอาชีพในหลากหลายสาขาก็จะต้องเสียภาษี ซึ่งแต่ละสาขาจะมีการคิดภาษีแตกต่างกันไป
โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา
การที่เราจะรู้ว่าเราสามารถจ่ายภาษีลดลงตรงไหนบ้างนั้น เราจำเป็นต้องรู้จักโครงสร้างของภาษีบุคคลธรรมดาเสียก่อน เพื่อ "รู้เขา รู้เรา" ทำให้เราสามารถรู้ช่องทางในการลดหย่อนภาษีได้ โดยที่โครงสร้างของภาษีบุคคลธรรมดาของไทยแลนด์นั้นประกอบด้วยส่วนต่างๆคือ

1. รายได้พีงประเมิน ตามอาชีพต่างๆ >>> ภาค 1
2. ส่วนที่หัก "ค่าใช้จ่าย" (ตามแต่ละสาขาอาชีพ) >>> ภาค 1
3. ส่วนลดหย่อน >>> ภาค 2
4. ส่วนหัก "เงินบริจาค" >>> ภาค 2
5. เงินได้สุทธิ (เอาไปคำนวณภาษี) >>> ภาค 2
5. ส่วนต่างๆที่ต้องหัก เช่น หักเงินภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีรถยนต์ (อนาคต) >>> ภาค 3
6. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย, ภาษีส่วนเกิน >>> ภาค 3

รายได้พึงประเมิน
รายได้พึงประเมิน ถ้าพูดเป็นภาษาไทยก็คือเงินที่เราได้มาจากการทำมาหากินน่ะล่ะ หลากหลายอาชีพรายได้ก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นเขาจึงแบ่งรายได้พึงประเมินออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่

ประเภทที่ 1 เงินที่ได้จากการจ้างงาน
- เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง โบนัส
- เงินค่าเช่าบ้าน (สำหรับที่องค์กรหรือบริษัทให้)
- เงินที่นายจ้างออกให้ (แต่จริงๆเราออกเอง)
- เงิน ทรัพย์สินหรืออะไรก็ได้ที่ได้มาจากการจ้างงาน เช่น รถยนต์ บ้าน ที่บริษัทมอบให้
ประเภทที่ 2 เงินประจำตำแหน่ง
- เบี้ยประชุม
- รายได้อื่นๆที่ได้มาเพราะตำแหน่ง
ประเภทที่ 3 ค่ากู๊ดวิลล์ (ยากเลย..)
- เงินจากค่าลิขสิทธิ์รายปี
- เงินพินัยกรรมรายปี
ประเภทที่ 4 ดอกเบี้ย ปันผลจากการโอนหุ้น
- ดอกเบี้ยจากพันธะบัตร หุ้นกู้
- เงินปันผล ผลกำไรจากกุ้น
- ผลประโยชน์จากการร่วมหุ้นบริษัท
*** สามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายได้
ประเภทที่ 5 เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
ประเภทที่ 6 เงินได้จากการวิชาชีพอิสระ
- ทนายความ หมอ วิศวกร สถาปัตย์ บัญชี
ประเภทที่ 7 เงินได้จากการรับเหมา
ประเภทที่ 8 เงินได้จากการทำธุรกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์

รายการหักจากรายได้พึงประเมิน
ประเภทที่ 1 เงินที่ได้จากการจ้างงาน
ประเภทที่ 2 เงินประจำตำแหน่ง
ทั้งสองประเภท จะมีรายการหักค่าใช้ตจ่ายคือ
1) เงินสะสมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข.
2) ค่าใช้จ่ายของผู้เสียภาษี 40% ของรายได้พึงประเมินสองประเภทหักเงินสะสมต่างๆ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
3) ค่าใช้จ่ายของคู่สมรส (กรณีจ่ายร่วมกัน)

ประเภทที่ 3 ค่ากู๊ดวิลล์ (ยากเลย..)
- ค่าลิขสิทธิ์ของผู้เสียภาษีและคู่สมรสหัก 40%ของรายได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท

ประเภทที่ 5 เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
- โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หักค่าใช้จ่าย 30% ของเงินได้หรือตามจริง (ถ้ามีเอกสารแนบ)

ประเภทที่ 6 เงินได้จากการวิชาชีพอิสระ
- หักค่าใช้จ่าย 60% ของรายได้หรือตามจริง

ประเภทที่ 7 เงินได้จากการรับเหมา
- หักค่าใช้จ่าย 70% ของรายได้หรือตามจริง

ประเภทที่ 8 เงินได้จากการทำธุรกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์

หลังจากที่เราได้คำนวณรายได้พึงประเมินรวม ทั้ง 8 ประเภทพร้อมหักค่าใช้จ่ายออกไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปหักค่าลดหย่อน ซึ่งติดตามต่อไปในภาคที่ 2 นะครับ

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

NEW TV ERA: เปิดยุคทองทีวีดาวเทียม สงครามแย่งชิงมวลชน

              สวัสดีชาว SMEfriend กันในช่วงเดือนสิงหาคม (เดือนที่มีวันหยุดเยอะมากๆ) หายหน้าหายตาไปนาน เนื่องจากว่างานประจำนั้นรัดตัวเหลือเกิน แต่ก็ยังมีไฟในการเขียนบทความเรื่องราวดีๆเพื่อแบ่งปันสาระความรู้ที่คุณอาจจะมองข้ามไปในเรื่องธุรกิจ หวังว่าหลายๆคนจะติดตามกันไปเรื่อยๆ อ่อ!!! ลืมบอกไป ตอนนี้ผมจะให้ความสำคัญกับแฟนเพจ facebook.com/beSMEfriend มากขึ้นๆ เพราะเป็นช่องทางที่สะดวกในการแชร์ความรู้ด้านธุรกิจ โดยในทุกๆวันผมจะพยายามหาข้อมูลใหม่ๆที่เป็นประโยชน์มานำเสนอกันตลอดทั้งวัน 24 ชม. 
              กลับมาเข้าเรื่องเนื้อหาหลักๆของเราดีกว่า เรื่องของทีวีดาวเทียมนี้เป็นเรื่องที่ผมอยากเขียนมานานแล้วตั้งแต่มียุคทีวีจอดำในช่วงยูโรเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา แต่ก็คิดว่ามันก็แค่เรื่องขัดแย้งทางธุรกิจ แต่วันนี้ผมได้อ่านข่าวว่าทรูวิชั่นเปิด “ทรูทีวี” ผนึกกับ “PSI” เปิดกล่องรับสัญญาณใหม่เพิ่มช่องทรูวิชั่นเจ๋งทั้งช่องภาพยนต์ดังๆ รวมทั้งเอาใจคอฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไทยและอังกฤษได้ดูกันฟรีๆ (บางคู่) โดยประเด็นที่โดนใจเต็มๆเลยคือการบังคับ “PSI” ตัดช่องของ GMM Grammy ทั้งหมดออกไป นั่นล่ะคือประเด็นที่ผมนั้นจะต้องเขียนถึงให้ได้

ขอบคุณภาพจาก http://static.ddmcdn.com/

จานดาวเทียมสมัยก่อนจนถึงก่อนยุคสงคราม
               พูดถึงจานดาวเทียมสมัยก่อนนั้นเป็นยุคของคนรวยเขาจะมีกัน เพราะแต่ก่อนราคาจะแพงมาก ติดตั้งทีเกือบหมื่นบาท มีอยู่ไม่กี่เจ้า เช่น SAMART, DYNASAT UBC (TrueVision) ต่อมาก็มี PSI IPM และ DTV โดยมีทั้งระบบจ่ายเงินทีเดียวและจ่ายรายเดือน โดยคนส่วนใหญ่ก็จะนิยมซื้อติดและจ่ายเงินทีเดียว จะยกเว้นก็ในสังคมเมืองนั่นล่ะที่จะยอมเสียรายเดือนของ TrueVision ที่ไต่ราคาจากหลักร้อยจนปัจจุบันมีราคาถึงสองพันกว่าบาทขึ้นอยู่กับช่องที่เปิดบริการ ธุรกิจจานดาวเทียมก็ดำเนินกิจการมาเรื่อยๆไม่ได้หวือหวาอะไรเพราะด้ววยราคาที่แสนแพง ทั้งๆที่ก็มีหลายเจ้ายอมดร็อปราคาลงมา เช่น ทรูวิชั่นยอมให้จานฟรีกับลูกค้าทรูมูฟเพื่อแลกจำนวนลูกค้ามือถือให้มากขึ้น วงการจานดาวเทียมก็กลับมาบูมอีกครั้งเมื่อถูกคู่แข่งที่ไม่คิดว่าจะมีอย่าง “เคเบิลท้องถิ่น”เข้ามาแทนที่ เคเบิลท้องถิ่นเข้ามาแชร์รายได้ของจานดาวเทียมอย่างเห็นได้ชัด เพราะราคาติดตั้งถูก รายเดือนก็ถูก ทำเอาเหล่าจานหลากสีต้องปรับกลยุทธ์สู้ทั้งลดราคาจานและกล่องรับฯ เพิ่มช่องทีวีให้มากขึ้น บางบริษัท (SAMART)ต้องตั้งโรงเรียนสอนเกี่ยวกับระบบดาวเทียมและเน็ทเวิร์ค หรือแม้กระทั่งไล่ฟ้องร้องลิขสิทธิ์เหล่าเคเบิลท้องถิ่น จนทำให้เคเบิลก็เป๋เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องตั้งสมาคมมาปกป้องคนเคเบิลด้วยกันเอง จนกระทั่งราคาของจานนั้นถูกมาก (คาดว่าเริ่มนำเข้าจากจีนมามากขึ้น)


ขอบคุณภาพจาก http://www.mynke.com/

ปัจจุบัน น่านฟ้าสีแดง
                   ที่บอกว่าน่านฟ้าสีแดงนั้นก็ฟ้องมาจากทฤษฎีน่านน้ำสีแดงที่ทั้งปลาใหญ่ปลาน้อยไล่กินกันสนุกสนาน กลุ่มธุรกิจทั้งค่ายมือถืออย่าง AIS ในนามของ DTV หรือธุรกิจบันเทิงอย่างจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GMM Z)และอาร์เอส (SUNBOX) นั้นเริ่มมีช่องดาวเทียมเป็นของตนจากแต่ก่อนก็แค่มีแต่ช่อง ปัจจุบันมีกล่องขายกันอย่างสนุกสนาน เราเข้าไปร้านสะดวกซื้อเงยหน้าขึ้นมาก็เจอกล่องรับสัญญาณกันให้พรึ่บ ปรากฏการณ์นี้นั้นเป็นผลของการตั้งกสทช.ขึ้นมาควบคุมกิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคม ซึ่งจะต้องมีกฎระเบียบเข้ามาควบคุม ซึ่งทำให้ค่ายใหญ่รีบเอาตัวเข้ามาก่อนที่กฎนั้นจะมีขึ้น การแข่งขันของทีวีดาวเทียมนั้นอาจจะแบ่งเป็นสองพวก คือ

1) ประเภทขายจานพร้อมกล่องสัญญาณ พวกนี้จะแข่งขันกันมานานแล้ว แต่ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก เพราะระบบของดาวเทียมก็มีเหมือนกันทั้งแบบ KU-Band C-Band หรือ NSS6 ช่องทีวีก็จะไม่แตกต่างกันมาก ราคาก็ใกล้เคียงกัน แล้วแต่การตลาดและโปรโมชั่นของร้านตัวแทนไหนจะโดนกว่ากัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.forwardsat.com/

2) ประเภทขายกล่องรับสัญญาณอย่างเดียว คือลูกค้าสามารถไปซื้อจานยี่ห้อไหนก็ได้เพีงแต่ไปซื้อกล่องมาติดตั้งเองก็ดูได้แล้ว อันนี้ล่ะที่กำลังฟาดฟันกันอย่างสนุกสนาน เพราะต่างคนต่างผลิตช่องทีวีออกมาเรียกลูกค้า GMM Z ก็จะเน้นช่องของแกรมมี่ที่มีทั้งเพลงและภาพยนต์รวมถึงฟุตบอลโลกที่ผ่านมาและจะมีช่องฟุตบอลบุนเดส ลีกาของเยอรมันด้วย ในส่วนของ SUMBOX นั้นก็จะเน้นช่องเพลงของค่ายอาร์เอสและบวกช่องละคร “8” ที่ลงทุนผลิตละครป้อนทีวีดาวเทียมอย่างเดียว โดยขนดาราและนักร้องของค่ายมากันแน่น ส่วน”TrueTV” นั้นอาจจะเปิดตัวช้า (สงสัยคิดว่าปัจจุบันตัวเองก็มี TrueVison ทั้งจานและเคเบิลอยู่แล้ว) แต่ก็อดใจอยากโดดลงมาเล่นด้วยโดยอาศัย Content หรือเนื้อหาขอตนที่มีอยู่แล้วเอามาฟาดฟัน ในส่วนกลยุทธ์การแข่งขันนั้นก็เริ่มต้นด้วยการขายพ่วง (GMM Z ขายพ่วงไปกับทีวีช่วงยูโร) ต่อมาก็ใช้กลยุทธ์ Synergy ที่ TrueTVกับPSI กำลังกระหน่าใส่ GMM Z ณ ขณะนี้


ขอบคุณภาพจาก http://www.siamsport.co.th/

อนาคตลูกค้าตาดำๆ
ตราบใดที่ยังไม่มีระเบียบข้อบังคับจากกสทช.ออกมา เหล่ากล่องและจานหลากหลายยี่ห้อนี้ก็จะต่อสู่นัวเนียเพื่อแย่งฐานลูกค้ามาเป็นของตน โดยเอา Content มาหลอกล่อตามสูตรทุนนิยม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือทำให้ลูกค้าเดือดร้อน เพราะอีกหน่อยจะทำให้อีกหน่อยเราจะได้เห็นหลายๆบ้านมีกล่อง 4-5 กล่องสำหรับทีวีเครื่องเดียวก็เป็นได้

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- จานดาวเทียมระบบ KU-Band จะเป็นจานเล็กๆหลากสีสัน ส่วนจานแบบ C-Band จะเป็นตะแกรงสีดำใหญ่

- จำนวนช่องนั้นแล้วแต่ผู้ให้บริการกำหนด จริงๆแล้วสามารถรับชมช่องต่างๆได้เป็นพันๆช่อง

สำหรับอนาคตทีวีดาวเทียวจะเป็นยัง ผมสัญญาว่าถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจะรีบมาเล่าให้ฟังอย่าแน่นอน...
ขอขอบคุณที่ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Check-In (Check-In Strategy): สร้างโอกาสของธุรกิจด้วย Facebook

กลยุทธ์ Check-In (Check-In Strategy)
สร้างโอกาสของธุรกิจด้วยเครื่องมือง่ายๆใน Facebook


กลับมาอีกครั้งกับบทความที่ทาง SMEfriend บรรจงคัดสรรเนื้อหามาเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ อาจจะห่างหายไปนานบ้างกับบทความเพราะต้องบอกตรงๆเลยว่างานประจำนั้นรัดตัวมาก กลับมาก็เขียนได้นิดหน่อยก็ต้องไหลลงไปนอนทุกที แต่ยังไงก็ต้องมาตามหน้าที่ และวันนี้ผมของนำเสนอบทความที่แต่งจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เห็นได้เจอมาเลยก็ว่าได้ บวกกับเห็นช่องทางแล้วจึงอยากนำมาบอกเล่าสำหรับชาว SMEfriend

“คุณรู้จัก Facebook ไหม?” มันคงเป็นคำถามไม่น่าจะถามสำหรับยุคสมัยนี้ไปแล้ว “คุณรู้จักการใช้ Facebook ดีขนาดไหน” คำถามนี้หลายๆคนคงเริ่มทำหน้างง “คุณใช้ feature ใน facebook สร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจคุณได้ดีขนาดไหน” อันนี้คงทำให้หลายๆคนหยุดคิดไปนาน ใช่แล้วครับวันนี้ผมจะขอนำเสนอกลยุทธ์การใช้สิ่งที่มีอยู่ใน Facebook (เครื่องมือสื่อสารการตลาดที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้) ซึ่งก็คือ feature ที่หลายคนใช้กันคือการ Check-In การเช็คอินของการใช้เฟซบุ๊คนิยมใช้กันมากขึ้นมาก ดังนั้นเรามาดูว่ามันช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจเราได้อย่างไรบ้าง

รู้จัก Check-In
Check-In เป็น feature หนึ่งของเฟซบุ๊คที่ทุกคนมีใช้กัน โดยหากเราต้องการอัพสถานะของเราผ่านเฟซบุ๊คนั้นก็จะมีทั้งการโพสต์ข้อความ รูปภาพ กับใครและที่ไหน ซึ่งเราสามารถแชร์เรื่องราวต่างๆให้เพื่อนๆของเราหรือคนทั่วไปรู้ว่าเรา “ทำอะไร” “ที่ไหน” “กับใคร” และมีหลักฐานยืนยันด้วย เพียงแค่คลิกเลือก Check-In แล้วเลือกสถานที่ที่เราอยู่หรือสถานที่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง

ที่มาของกลยุทธ์ Check-In
กลยุทธ์นี้ผมคิดได้ตอนได้ไปนั่งกิอาหารอีสานแห่งหนึ่งแถวริมเขื่อนลำตะคลอง ปากช่อง โคราชโน่น โดยร้านที่ไปนี่ต้องบอกก่อนเลยว่าไปแบบสุ่มๆเพราะไม่รู้จริงๆว่าแถวนั้นร้านไหนอาหารอร่อย ก็เลยเปิดพวกเว็บรีวิวดู พอมาถึงร้านก็ประทับใจบรรยากาศและอาหาร (อร่อยโอเคเลยล่ะ) และพอใกล้จะกลับก็คิดว่าร้านอาหารตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างจังหวัดนั้นมีข้อจำกัดคือการโปรโมทร้านเพราะช่องทางให้นักท่องเที่ยวรู้จักได้ทั้งประเทศนั้นยากมาก ยิ่งร้านเล็กๆแต่อร่อยยิ่งจะเสียเปรียบร้านใหญ่ที่ใครมักจะคิดว่าดีแต่จริงๆแล้วอาจไม่ก็ได้ แต่จะได้เปรียบเพราะเขา PR ได้ดีกว่า บวกกับตัวเองเป็นคนที่ใช้สมาร์ทโฟนแชร์พวกสถานที่ท่องเที่ยว หรือร้านอาหารอร่อยๆอยู่แล้วจึงนึกว่า หากเราใช้สิ่งที่มีอยู่ใน Facebook มาช่วยดันธุรกิจที่มีอยู่ก็จะดีไม่น้อย เลยคิดถึงเรื่องการ Check-In (ส่วนตัวไม่ชอบ Check-In) ที่สามารถบอกคนทั้งโลกได้ว่าเราอยู่ไหน โดยไม่ต้องเสียสตางค์สักกะติ๊ดในการป่าวประกาศออกไป

แล้วทำอย่างไรถึงจะได้ผลล่ะ

ผมลองทำแผนผังของการทำโปรโมชั่นโดยใช้การเช็คอินแบบง่ายๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านลองนำไปประยุกต์ดูกับธุรกิจของตนเองนะครับ ก็ลองอ่านจากชาร์ทรูปด้านล่างนี้นะครับ


Owner Preparation
เป็นขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของเจ้าของธุรกิจที่ต้องเตรียมตัวก่อนการใช้โปรโมชั่น
ข้อ 1) การสร้างแฟจเพจเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าไปกด Like และเช็คอินสถานที่ตั้งของร้าน
ข้อ 2) เตรียมความพร้อมของพนักงานในร้านให้ได้รับรู้ว่าเราทำอะไร และลูกค้าต้องทำอะไร รวมถึงการเปิดให้ลูกค้าได้เข้าถึงอินเตอร์เน็ต คือการติดบริการฟรี WiFi
ข้อ 3) ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นตัวทีเด็ด เพื่อให้ลูกค้าได้นำเอาไปเป็น Talk of the Town
ข้อ 4) สร้างจุดเด่นของสถานที่สำหรับลองรับลูกค้าที่ชอบถ่ายรูปเพื่อแชร์บอกต่อในเครือข่ายเพื่อนๆ

Owner Strategies
เป็นขั้นตอนการการเตรียมโปรโมชั่นรองรับกลยุทธ์ เนื่องจากเราเน้นการใช้ปุ่ม "Check-In" ดังนั้นเราต้องเข้าใจการใช้ของมันด้วยว่าปัจจุบันนั้นผู้บริโภคเขาใช้เฟซบุ๊คกันอย่างไร
1) พฤติกรรม Check-In อย่างเดียว
2) พฤติกรรม Photo Sharing อย่างเดียว
3) พฤติกรรม Check-In และ Photo Sharing พร้อมๆกัน

กลยุทธ์การ Check-In นี้จริงๆแล้วต้นทุนการทำนั้นไม่มากเลย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือการสื่อสารข้อมูลทางการตลาดของเราออกไปให้คนทั้งโลกทั้งประเทศได้รับรู้ ลองคิดดูง่ายๆว่าลูกค้า 1 คนมีเพื่อนเฉลี่ยอยู่ 130 คน แล้วหนึ่งวันมีลูกค้าเข้ามากี่คนก็คูณจำนวนกลุ่มเป้าหมายของเราไปได้เลย รับรองภายในไม่กี่สัปดาห์ธุรกิจของคุณก็จะมีคนรู้จักเพิ่มมากขึ้นเป็นหลักพันหักหมื่นแน่ๆ

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Instagram Marketing: แอบสร้างแบรนด์ด้วยแอพสุดฮอต

เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วถ้าถามคนใช้สมาร์ทโฟนทั่วไปว่า "รู้จัก Instagram หรือเปล่า?" ผมก็บอกได้เลยว่าน้อยมาก แต่ปัจจุบัน Instagram กลายเป็นแอพพลิเคชั่นถ่ายและแชร์รูปสุดฮิตของประเทศสยามเราไปแล้ว โดยในตอนแรกนั้นมีเล่นกันในหมู่ของดาราและเซเลบ จนตอนหลังนี้คนธรรมดาก็หันมาเล่นมากขึ้นจนทุกวันนี้มันก้าวข้ามมากกว่าแอพถ่ายรูปไปสู่รูปแบบของการสื่อสารการตลาดบนโลกออนไลน์แล้ว


ภาพจาก: http://www.noobpreneur.com


แนะนำที่มาและที่ไป (สั้นๆ)
Instagram เป็นแอพพลิเคชั่นถ่ายภาพและสามารถแชร์ภาพผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ทั้งเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ได้พร้อมกัน ถือกำเนิดมา 4-5 ปีแล้ว ในตอนแรกนั้นเป็นแอพที่อยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS ของสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone4 เป็นหลักจนปัจจุบันั้นขยายขอบเขตไปยังมือถือระบบ Android เรียบร้อยแล้วทำให้สังคมของ Instagram นั้นกว้างขวางไม่จำกัดขอบเขตอีกต่อไป และที่สำคัญคือตอนนี้ได้ถูก Facebook ซื้อกิจการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ภาพจาก: http://www.919marketing.com
วิธีการใช้ก็แสนง่ายเพียงหยิบสมาร์ทโฟนของคุณขึ้นมาเปิดโปรแกรมถ่ายหรือเลือกภาพจากมือถือของคุณเอง ต่อมาก็เลือก Filter ของ effect ว่าต้องการเลือกภาพแนวไหน มีทั้ง Lomo, Vintage หรือจะแบบขาวดำก็มีให้เลือกกว่า 20 แบบ จากนั้นก็สามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการสื่อสาร และสามารถเลือกแชร์ผ่าน Instagram อย่างเดียวหรือจะผ่านทั้ง Facebook และ Twitter ก็ได้ (แต่ต้องมี Account ของทั้งสองอันนะครับ) จากนั้นรูปของคุณก็จะขึ้นแชร์สู่สาธารณชนทั้งโลก และเพื่อนของคุณก็สมารถมองเห็นได้เช่นกัน อ่อ ลืมบอกไปว่าเราสามารถ tag ข้อความที่เกี่ยวกับรูปที่เราถ่ายได้ (เหมือน twitter) โดยใส่เครื่องหมาย # และตามด้วยข้อความภาษาอังกฤษ (ไทยก็ได้แต่ไม่เห็นเวลา search นะครับ)


สร้างแบรนด์ผ่าน Instagram
ภาพจาก: http://cdn2.business2community.com
จริงแล้วเรื่องนี้มีมานานแล้วนะครับ ดาราหลายๆคนก็ใช้ Instagram นี้โปรโมตละคร เพลง ภาพยนต์ สินค้าที่ตนเป็นพรีเซนเตอร์ แบรนด์ของตนเอง ฯลฯ ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME เราก็ต้องหัดใช้สื่อที่ตอนนี้ได้รับความนิยม โดยเฉพาะธุรกิจประเภทบริการที่เน้นการนำเสนอผลิตภัฑณ์ผ่านภาพถ่ายเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ แต่ก่อนเราจะเริ่ม เรามารู้ว่า Instagram จะช่วยเราได้อย่างไรก่อน




1. Instagram สามารถสร้างเครือข่ายลูกค้าของเราผ่านทางข้อมูลผู้ติดต่อ หรือ Contact ที่อยู่ในมือถือของเรา ผ่านทางเพื่อนในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ เราลองกดเสิร์ชในหน้า Profile ของเราเอง ถ้าเพื่อนของเราในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเล่น Instagram เราก็สามารถเพิ่มเขาเป็นเพื่อนได้ทันที ดังนั้นภาพที่เราถ่ายและแชร์ไปก็จะไปโชว์ในหน้า New Feed ของเพื่อนๆของเราได้ แค่นี้เครือข่ายของเราก็พิ่มขึ้นจากเดิมแล้ว
2. Instagram สามารถให้ผู้อื่นๆเสิร์ชหารูปต่างๆผ่าน tag หรือ #XXX ที่เราแนบไปด้วย เช่น หากลูกค้าชาวแคนาดาเล่น Instagram และเสิร์ชหา tag ว่า #thaifood ภาพและ Username ของผู้ที่แนบ tag ว่า #thaifood ก็จะแสดงออกมา แค่นี้มันก็ทำให้เราเข้าถึงลูกค้ารายอื่นๆได้ง่ายขึ้น ตามภาพด้านบนเลย


แค่นี้สินค้า ผลิตภัณฑ์หรืองานบริการของคุณก็จะไปอวดสายตาคนทั้งโลกได้ง่ายๆโดยแค่ปลายนิ้ว


จริงแล้ว Instagram นั้นเป็นแอพที่เหมาะกับการสร้างแบรนด์ของธุรกิจบริการจริงๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ รีสอร์ท โรงแรม ห้องพัก ห้องเช่า หอพัก ฯลฯ ที่บางครั้งลูกค้าต้องการข้อมูลคร่าวๆ เช่น ภาพถ่ายมาประกอบการตัดสินใจ เหมาะมากกับธุรกิจขนาดเล็กๆที่ต้องการขยายฐานลูกค้าเดิมออกไป เป็นการสื่อสารทางการตลาดอีกวิธีที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ของอย่างนี้ก็ปากต่อปากล่ะครับ
ส่วนใครจะดังจะแป๊กนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะครับว่าของคุณนั้นดีจริงแค่ไหน ต่อให้ถ่ายภาพเก่งแต่ของไม่ดี ลูกค้าเขาก็มาครั้งเดียวและหายไปอย่างแน่นอน


ปล. Instagram เพิ่งจะหยุดทำงานไปวันเต็มๆกับเหตุกาณ์พายุถล่มทำเอา Server เสียหายแต่ตอนนี้ก็กลับมาได้แล้ว (01-07-55)


พบกันบทความดีมีประโยชน์ในครั้งหน้า สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Future Money Strategy: กลยุทธ์ดูดเงินของเทสโก้โล


สวัสดีชาว SMEfriend ทุกคน กลับมาอีกแล้วหลังจากสัปดาห์ที่แล้วหายไปด้วยเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทย ก็ขออวยพรให้แฟน SMEfriend ทุกท่านประสบกับความสุขตลอดไปเลยแล้วกันนะครับ กลับมาเข้าเรื่องหลังจากหายไปนั้นก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีแต่ไปหาความรู้เพิ่มเพื่อนำมาเขียนบทความดีๆจะได้รู้ทันธุรกิจว่าตอนนี้ ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไรบ้าง ก็เลยมาป๊ะกับคูปองของห้างเทสโก้โลตัสที่ชอบให้ลูกค้าได้ตัดเก็บไว้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ (คูปองซื้อ 600 ลด 60 บาท) ก็เลยนั่งคิดต่อไปว่า “ทำไมเขาถึงยอมลดให้ลูกค้าขนาดนี้” เลยนึกไปถึงพฤติกรรมของลูกค้าห้างค้าปลีกขึ้นมา จึงรู้ว่า “อ่อ เขาแอบดูดเงินอนาคตของลูกค้าไป” ยังไง อย่างไร ลองอ่านแล้วคิดตามนะครับ

คูปองส่วนลดเงินสด
ถ้าใครได้มีโอกาสรับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็จะพบว่าเกือบปีที่เทสโก้โลตัสนั้นได้มอบส่วนลดเงินสดมาพร้อมโฆษณาสินค้าหนังสือพิมพ์ เช่น ซื้อ 800 ลด 80 บาท ซื้อ 600 ลด 60 บาท เป็นต้น โดยจะต้องใช้ควบคุมกับบัตร”คลับการ์ด”ของโลตัสด้วยถึงจะได้สิทธิ์นี้ไป โดยในช่วงแรกนั้น ทางเทสโก้โลตัสจะแนบคูปองดังกล่าวมากับนสพ.ในช่วงของกลางเดือน เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงกลางเดือนให้สูงขึ้น เพราะพฤติกรรมของลูกค้าห้างโลตัสนั้นส่วนใหญ่คือเป็นวัยทำงานและอยู่เป็นครอบครัว ซื้อของเข้าบ้านช่วงหลังเงินเดือนออก อะไรทำนองนี้ ดังนั้นยอดขายในกลางเดือนจะดร็อปลงมาบ้าง ทางห้างโลตัสจึงต้องกระตุ้นยอดขายขึ้นมา ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็ได้ใช้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และในภายหลังก็พบว่าทั้งต้นเดือน กลางเดือนหรือปลายเดือน โลตัสก็ใช้กลยุทธ์นี้มาแข่งกับคู่แข่งอย่างบิ๊กซีแบบบ้าเลือดกันเลยทีเดียว

คลับการ์ด + ศึกษาพฤติกรรม = รู้ทางผู้ซื้อ
เทสโก้โลตัสเริ่มใช้คลับการ์ดมานานพอตัว ข้อดีของคลับการ์ดนั้นทำให้ห้างโลตัสนั้นสามารถบันทึกข้อมูลการซื้อของลูกค้าได้ทั้งวัน เวลา สถานที่ จำนวน ความถี่ ทำให้สามารถนำเอาพฤติกรรมเหล่านั้นมาใช้ในการทำกลยุทธ์ต่างๆได้รวมถึงกลยุทธ์ดูดเงินที่จะพูดถึงต่อไป
โดยมีงานวิจับพบว่า ลูกค้าโลตัสเกือบ 40% นั้นใช้บริการซื้อสินค้าเพียงเดือนละครั้ง ซึ่งก็น่าจะตรงกับพฤติกรรมการซื้อของอุปโภคบริโภคของครอบครัวทั่วๆไป และงานวิจัยยังพบอีกว่าลูกค้านั้นซื้อของเฉลี่ยจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ประมาณ 950 บาทต่อครั้งต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญเลยทีเดียว

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (แบบเนียนๆ)
จากข้อมูลงานวิจัย (ไม่ใช่ของเทสโก้โลตัสนะครับ อันนี้ผมหาเจอแต่ลืมที่มา ก็ขออภัยด้วยล่ะกัน) เทสโก้โลตัสก็รู้แล้วว่าเค้กก้อนโตของตนเป็นผู้ที่มาห้างแค่เดือนละครั้งและใช้จ่ายเงินไม่ถึง 1,000 บาท ทำให้เทสโก้จะต้องออกกลยุทธ์อะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ออกมาเที่ยวช็อปให้มากขึ้นกว่าเดือนละครั้ง ซึ่งการส่งกลยุทธ์คูปองส่วนลดนั้นก็สามารถทำให้ผู้ซื้อปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างดี เพราะจากที่เคยใช้จ่ายแค่ตอนสิ้นเดือน ก็หันมาซื้อของกันตอนกลางเดือนมากขึ้น

อ้าว!! แล้วมันดูดเงินยังไงล่ะ?
เราลองมาดูตัวอย่างง่ายๆกันนะครับ เช่น ครอบครัว ก. นิยมไปซื้อของที่โลตัสสิ้นเดือนโดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาทต่อครั้งต่อเดือน เทสโก้โลตัสออกคูปองซื้อ 600 ลด 60 ออกมาตอนกลางเดือนและซื้อ 800 ลด 80 บาทออกมาตอนสิ้นเดือนเหมือนกัน ครอบครัว ก.เห็นว่าคูปองนั้นลดราคาทำให้ประหยัดจึงจะใช้คูปองทั้งสองครั้งก็จะพบว่า

กลางเดือนซื้อ 600 บาท ลดไป 60 เทสโก้โลตัสได้เงินมา 540 บาท
สิ้นเดือนซื้อของอีก 1,000 บาท (ตามปกติของครอบครัว) เทสโก้ได้เงินมา 920 บาท
สรุปเทสโก้ได้เงินมา 1,460 บาท จากที่ควรจะได้จริง 1,000 บาท (ตามปกติ)

ดูดเงินได้ 460 บาทหรือ 46% จากที่เคยได้มา เห็นมั้ยครับนี่คือตัวอย่างง่ายๆหากว่าผู้ซื้อนั้นหลงกลกลยุทธ์ของเทสโก้ก็จะต้องเสียเงินเพิ่มจากเดิมทั้งที่ควรจะจ่ายเท่าเดิม ถามว่าเหตุการณ์อย่างตัวย่างนี้นั้นจะเกิดขึ้นกับทุกๆคนใน 40% นั้นหรือไม่ ผมว่าคงไม่ คงอาจจะมีแค่ 60% ของกลุ่มนี้ที่หลงไปกับทุนนิยม แต่ผมว่าด้วยนิสัยของผู้ซื้อที่ชอบของถูกนั้นคูปองดังกล่าวก็สามารถยั่วน้ำลายได้เหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อลองไปถามยอดขายหนังสือพิมพ์ไทยรัฐดูก็ได้

ยังไงซื้ออะไรต้องวิเคราะห์พิจารณาว่าเราต้องการจริงๆหรือแค่เห็นแก่ของถูกนะครับ วันนี้หมดพื้นที่ล่ะ พบกันใหม่ครั้งหน้า

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

Social Tools for Brand: อุปกรณ์สร้างแบรนด์ยุคใหม่ 1

สวัสดีชาว SMEfriend ทุกคน ช่วงนี้ก็ใกล้กับช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ บางคนหยุดยาวตั้วแต่ 7-16 เมษายนเลยก็มี ยังไงก็ระวังกลับออฟฟิศกันไม่ถูกนะครับ ส่วนใครที่ต้องเดินทางไกลก็ขอให้ขับรถยนต์ระมัดระวังด้วย “เราไม่ชนเขา เขาก็มาชนเรา” อ่อ!! อย่าลืม “เมาไม่ขับ” นะครับ ส่วน SMEfriend บอกไว้เลยว่าไม่มีหยุดอยู่แล้ว เผลอๆอาจจะมีบทความมาในช่วงวันหยุดเยอะกว่าช่วงปกติก็เป็นได้ ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันนะครับ แนะนำเพื่อนๆไปกด Like ได้ที่ facebook.com/beSMEfriend นะครับ รับรองมีแต่ความรู้ดีๆมานำเสนออย่างแน่นอน
กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า วันนี้ขอเสนอบทความเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์โดยใช้สื่อพวก Social Media ซึ่งในตอนนี้ต้องถือว่าเป็นที่นิยมมากเพราะราคาถูกและได้ผลกว้างไกล ซึ่งจริงๆแล้วก็เคยเขียนมาแล้วเมื่อนานมาก แต่วันนี้มีสื่อใหม่เข้ามามากขึ้นก็เลยอยากจะเสนออุปกรณ์หรือ Tools ใหม่เพื่อการสร้างแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ในระดับท้องถิ่นซึ่งเหมาะกับธุรกิจ SME หรือ OTOP อย่างมาก เราลองมาไล่ดูกันนะครับว่าสื่อโซเชียลนั้นมีอะไรและทำอะไรได้บ้าง

สื่อวิดีโอออนไลน์ แต่ก่อนสื่อพวกวิดีโออนไลน์นั้นได้รับความนิยมมากประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว แต่น้อยมากที่จะเห็นแบรนด์ท้องถิ่นทำกัน ซึ่งจริงๆแล้วต้นทุนแทบไม่ต้องอะไรมากเลย มีกล้องดิจิตอลหรือมือถือสมาร์ทโฟนก็ทำได้แล้วโดย ส่วนใหญ่แต่ก่อนก็มีพวก Youtube และ Metacafe นี่ล่ะที่พวก Hollywood นิยมนำเอามิวสิค ทีเซอร์หนังไปลงกัน พอสมาร์ทโฟนเริ่มเข้ามาประชาชนทั่วไปก็เริ่มมีช่องเป็นของตนเอง สอนเล่นดนตรี ทำอาหาร สอนกีฬาบ้าง จนเดี๋ยวนี้มีการทำรายการออนไลน์ผ่าน youtube กันแล้ว ซึ่งบางคนก็ได้รับความนิยมอย่าง GancoreTV หรือ SpokedarkTV ที่เริ่มมีคนนิยมบอกต่อกันไปมาก ซึ่งเราสามารถทำช่องของแบรนด์เราใน Youtube ได้ง่ายมากแค่เพียงมี Account ของ Google ก็ได้แล้ว ในส่วนของการทำสื่อวิดีโอออนไลน์นั้นก็มีเทคนิคแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นพวกผลิตภัณฑ์ ผมแนะนำว่าอย่าขายแบบตรงๆ (Directing) เพราะมันไม่ให้เกียรติกับผู้บริโภค ควรทำเป็นวิธีการแนะนำ (Messaging) เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เราควรทำวิดีโอเกี่ยวกับการรักษาผิวพรรณ โดยใส่เทคนิคและเคล็ดลับเข้าไปด้วย อย่าตะบี้ตะบันขายกันตรงๆ ทางที่ดีควรสร้างความผูกพันหรือ Engaging กับผู้ชม เช่น ทำเป็นตอนๆให้ติดตามตอนต่อไป ในส่วนของภาคบริการ จำพวกร้านอาหารหรือโรงแรมสามารถทำในรูปแบบคล้ายๆรายการชิมอาหาร พาไปเที่ยวก็ได้ แต่อย่าลืมอย่าไปบอกโต้งๆว่าเราทำอะไร ควรให้ผู้ชมได้เกิดการตัดสินใจเลือก (Making Decision) เมื่อได้วิดีโอแล้วก็นำไปตัดต่อ แนะนำโปรแกรม Movie Maker ที่มีอยู่กับ Window เพราะใช้งานง่ายมาก ยิ่งใครมีพรสวรรค์ด้านมีเดียตัดต่อดี น่าติดตามก็อาจจะทำให้ยอดวิวของเราเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ต่อไปอีกหน่อยแบรนด์ใหญ่ขึ้นก็สามารถจ้างมืออาชีพมาจัดการให้ได้ ซึ่งมีอยู่เยอะมาก

สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค ถือว่ายุคนี้เป็นยุคทองจริงๆของ Social Network ที่เริ่มต้นจาก Twitter, Facebook, Google+, Linkedin (เหมาะสำหรับสมัครและจัดหางาน) และ Tumblr หรือบล็อกดังๆอย่าง Blogger ใครจะไปเชื่อว่าตอนนี้แบรนด์ใหญ่ๆในบ้านเรานั้นไม่มีเจ้าไหนไม่ใช่สื่อสังคมออนไลน์ เดี๋ยวนี้ขนาดว่า Unilever ใช้เฟซบุ๊คในการจัดหางานแล้ว จริงๆแล้วพวกโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นเป็นเพียงช่องทางของการสื่อสาร แต่สิ่งที่จะสื่อสารนั้นต่างหากที่สำคัญ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ หมายกำหนดการต่างๆจะต้องมีความน่าสนใจเพราะสุดท้ายแล้วการ Share หรือส่งต่อนั่นล่ะคือจุดหมายของการสื่อสารในสังคมออนไลน์ เพราะมันก็คือกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด (Marketing Communication) อย่างหนึ่ง ซึ่งการโพสต์สื่อต่างๆลงในสังคมออนไลน์นั้นก็ง่ายแสนง่าย บางคนแค่มีสมาร์ทโฟนต่ออินเตอร์เน็ตก็สามารถแชร์สื่อต่างๆได้แล้ว การใช้สังคมออนไลน์ประการสำคัญคือการสร้างเครือข่าย ถ้าเครือข่ายกว้างไกลก็ง่ายหน่อย แต่ในธุรกิจท้องถิ่นนั้นถือว่าการสร้างเครือข่ายนั้นยากลำบากพอสมควร เพราะคนที่ใช้สังคมออนไลน์จะน้อยกว่าคนกรุง ดังนั้นการเลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์นั้นจะต้องมั่นใจว่าเครือข่ายเรามากขนาดไหน ซึ่งจริงๆแล้วสามารถพูดได้ว่าสร้างเครือข่ายในท้องถิ่นแบบง่ายๆก่อน เช่น ลูกค้าประจำ แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องเครือข่ายออนไลน์ แต่มองมุมกลับธุรกิจท้องถิ่นก็ไม่ได้แปรว่าจะต้องให้คนท้องถิ่นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Primo Posto ร้านกาแฟร้านอาหารยอดฮิตที่ปากช่อง มีจุดขายคือตัวร้ายที่ออกแบบออกแนวเมดิเตอเรเนียน ซึ่งคนส่วนใหญ่มากก็เป็นนักท่องเที่ยวก็มักถ่ายภาพมากกว่ากินอาหาร แต่พวกเขาเลือกที่อวดเพื่อนให้รู้ว่าเราอยู่ไหนโดยการ Check In ผ่านทั้ง Facebook, 4Square เป็นต้น ซึ่งนี่เองก็ถือว่าเขาได้ถ่ายทอดออกไปสู่โลกภายนอก ก็จะทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เดี๋ยวนี้โลกของสังคมออนไลน์ไม่ได้มีแค่ในพีซีเท่านั้น เพราะตอนนี้มันเข้าสู่สมาร์ทโฟนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายๆค่ายก็พัฒนาแอพพลิเคชั่นออกมาแข่งขัยกัน โดยตอนนี้ก็มีพวก Path, Pinterest ก็สามารถแชร์แบ่งปันให้กับภายนอกได้ ข้อดีของแอพพวกนี้คือการสามารถเพิ่มรายชื่อ Contact ของเราทั้งอีเมล เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือรายชื่อเบอร์โทรศัพท์ได้ ทำให้เครือข่ายของเรากว้างไกลขึ้น

ความรู้เรื่องสื่อในสังคมออนไลน์
ลักษณะเนื้อหา: เป็นมิตร อบอุ่น มีแรงบันดาลใจ มีปฏิสัมพันธ์ตอบโต้
รูปแบบ: ส่วนบุคคล เรียบง่าย ซื่อสัตย์ สื่อสารโดยตรง
ภาษา: ซับซ้อนไม่สับสน คำคม รู้ลึก สนุกสนาน เรียบง่าย
จุดมุ่งหมาย: ผูกพัน ให้ความรู้ แจ้งข้อมูล บันเทิง ขาย ขยายความ

สำหรับวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ก่อน จริงๆแล้วเทคนิคการทำสื่ออนนไลน์นั้นมีมาก จะทยอยมาอธิบายให้ภายหลังนะครับ สวัสดี

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

Power of Gear: หมุนเฟืองเพื่อองค์กร

สวัสดีชาว SMEfriend ทุกคน ต้องขอโทษด้วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้ลงบทความไปเพราะเหนื่อยจากงานประจำมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่เรียนมาทั้งป.ตรีและป.โทจะได้นำมาใช้งานจริงในช่วงนี้ แต่อย่างที่เคยบอกไว้นานแล้วว่าอยากเขียนบทความลงแต่มันไม่มีเวลา เรื่องน่ะมีเยอะโดยตอนนี้เล็งไว้หลายเรื่องที่จะมาวิเคราะห์ให้ทั้งเรื่องการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มในช่วงซัมเมอร์และเรื่องของประชาคมเษรษฐกิจอาเซียนก็ยังมีอีกเยอะมากเลย ก็หวังว่าเร็วๆนี้จะได้อ่านกันนะครับ

วันนี้มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า เรื่องต่อไปนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าประสบมาเองและแต่งจากประสบการณ์การทำงานล้วนๆเพราะเชื่อว่าทุกวันนี้คนจะเห็นแก่ตัวขึ้นเรื่อยๆทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตนเองและองค์กรลดลงได้ ซึ่งวันนี้จะขอเสนอเรื่องเกี่ยวกับการขับเคลื่อนในองค์กรโดยคน

สมัยเข้าไปเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์เมื่อสิบปีที่แล้ว ได้มีโอกาสได้เกียร์ทองของคณะแจกมา รุ่นพี่และอาจารย์บอกไว้ว่าทุกคนนั้นเปรียบเสมือนเฟือง (Gear) ตัวหนึ่งขององค์กร สังคมหรือหมู่คณะที่คอยขับเคลื่อน ซึ่งเฟืองแต่ละตัวก็มีหน้าที่ของตน ดังนั้นหากต้องการองค์กรให้ประสบความสำเร็จ เฟืองทุกตัวจะต้องทำหน้าที่หมุนสอดคล้องไปพร้อมๆกัน คิดกลับกันก็คือการที่เฟืองตัวใดตัวหนึ่งเกิดหยุดหมุน ฟันของเฟืองสึก กร่อนหรือแกนของเฟืองติดขัด เฟืองตัวอื่นๆก็ทำงานต่อไม่ได้ เช่นนั้นเององค์กรก็จะไม่เดินหน้าอย่างเต็มที่

รู้จักการทำงานของเฟือง>>>คน
เฟืองหรือเรามักเรียกทับศัพท์ว่าเกียร์ รูปลักษณ์ของมันส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะกลม ความหนาก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความสามารถในการทำงาน เฟืองแต่ละตัวจะมีขอบเป็นฟันซี่ๆรอบตัว ทำหน้าที่ให้เกิดการสัมผัสกับเฟืองอีกตัวสร้างแรงหมุนกลับทิศทาง (ตามรูป) ซึ่งการหมุนนั้นเองก็จะเกิดแรงขับเคลื่อนต่อๆกันไป เปรียบเฟืองก็เหมือนคน ฟันเฟืองและขนาดก็เหมือนวิชาความรู้และประสบการณ์ที่แต่ละคนมี การหมุนของเฟืองก็คือการทำงานของคน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปในองค์กร เช่นเดียวกับเฟือง อาจจะมีบางตัวทำหน้าที่เหมือนกัน (ตำแหน่งการงานเดียวกัน) บางตัวมีขนาดไม่เท่ากันก็เปรียบเสมือนตำแหน่งหน้าที่ในองค์กร แต่อย่างไรสุดท้ายทุกคนในองค์กรมีจุดมุ่งหมายคือความสำเร็จขององค์กร (เปรียบได้ก็เหมือนกับการทำงานของเครื่องจักร ที่สามารถเดินได้อย่างมรประสิทธิภาพ ไหลลื่นไม่สะดุดนั่นเอง...)

ปัญหาของคน>>>เฟืองไร้ประสิทธิภาพ
ในการทำงานของแต่ละองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เฉกเช่นเดียวกับเครื่องจักรแต่ละยี่ห้อก็ทำงานต่างกัน แต่ลักษณะงานเหมือนกัน บางองค์กรทำงานเร็ว เป็นทีม มีหน้าที่เฉพาะของแต่ละคนแต่ละตำแหน่ง งานก็ออกมาดีมีคุณภาพ เช่นเดียวกับเครื่องจักร หากเฟืองตัวใดตัวหนึ่งเกิดปัญหา (ปัญหาของเฟืองนั่นน้อยกว่าคนเยอะมาก) การทำงานของเครื่องจักรก็ไม่มีประสิทธิภาพ 100% ผลิตอะไร ออกมาก็ไม่เรียบร้อย ผลผลิตไม่ตามเป้า สุดท้ายลูกค้าก็ไม่ยอมรับการผลิตนั้น คนก็เช่นกัน คนก็เหมือนเครื่องจักร เพราะทำงานตามที่หัวหน้าโปรแกรมให้ไว้ แต่คนก็ถือว่าเป็นเครื่องที่ปัญหาเยอะมากทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว การงาน ฯลฯ (ไม่รู้จะพูดหมดไหม?) ซึ่งผู้บริหารซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของเครื่องจักรจะต้องมีหน้าที่คอยเอาคนมาตรวจสอบการทำงาน มาชำแหละดูเลยว่าเฟืองตัวไหนมีปัญหา ซ่อมได้ไหม แก้ไขได้ไหม ถ้าได้ก็ถือว่าโชคดีของเจ้าของไป แต่ถ้าไม่ได้ต้องเปลี่ยนเฟืองใหม่ เจ้าของก็เสียตังค์เพิ่มเปรียบได้กับการจ้างพนักงานเข้ามาแล้วทำงานไม่ตามเป้าหรือไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไป (มีอยู่เยอะในสังคม) ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแต่การเปลี่ยนก็ต้องการค่าใช้จ่ายหรือ Turn Over Cost เพราะกว่าจะเทรนพนักงานใหม่ให้เข้าใจงานได้ เฟืองตัวอื่นๆก็รอทำให้งานไม่ได้ผลตามต้องการ

ทางออกของเรื่องนี้
จริงๆแล้วเรื่องนี้แก้ปัญหาได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย เพราะอย่างที่บอกไป ปัญหาของคนมันมากกว่าเฟืองเยอะ เพราะคนมีสิ่งหนึ่งคือกิเลส เป็นสิ่งที่เฟืองจริงๆไม่มี กิเลสที่ว่าก็คือความอยากของแต่ละลำดับของ Maslow นั่นเอง ซึ่งแต่ละคนในองค์กรนั้นล้วนมีความอยากแตกต่างกันไปเพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ เพศ สถานะครอบครัว ตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งจุดนี้ผู้บริหารจะต้องลงมาดูเลยว่าในแต่ละลำดับขึ้นของ Maslow นั้นมีอะไรและควรใช้อะไรมาแก้ไขได้ ยกตัวอย่างเช่น ระดับพนักงานระดับปฏิบัติการ (Operator) ส่วนใหญ่นั้นต้องการเงินเดือนเพื่อเลี้ยงชีพ สวัสดิการทางสุขภาพ ส่วนพนักงานระดับหัวหน้างานก็จะเน้นความมั่นคงทางการงาน เส้นทางของอาชีพ (Career Path) พนักงานระดับผู้บริหารก็จะเน้นไปที่การยอมรับทางสังคม (ในที่ทำงาน) เป็นต้น หากว่าผู้บริหารสามารถตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้แล้ว อย่างน้อยก็จะขจัดปัญหาการเกเรไม่ยอมหมุนอย่างมีประสิทธิภาพของเฟืองลงไปได้

เฟืองกับพฤติกรรมของคน
หมุนช้า = ขี้เกียจ เบื่องาน เมาเหล้า เหยาะแยะ อิ่มตัวหมดไฟ

หมุนติดขัด = บ่อนทำลาย เกเร ไม่ยอมรับบุคคล ความขัดแย้ง

ฟันบิ่น หัก = ทำงานมากเกินไป สุขภาพไม่ดี ทำงานไม่เต็มที่ อู้งาน

ตัวเล็กเกินไป = ทำงานไม่ตรงที่ศึกษามา คุณภาพไม่ถึงงาน ขาดความรู้ความสามารถ ไม่พัฒนาตนเอง 

สำหรับวันนี้ก็ขอจบเรื่องเฟืองไว้เพียงเท่านี้ดีกว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่าทำตัวเองให้เป็นเฟืองในอุดมคติ (Ideal Gear) หรือหมุนไปรู้จักเหน็ดจากเหนื่อยอย่างเป็นระบบ นั่นล่ะเจ้าของเครื่องจักรเขาชอบ “สวัสดี”

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

Pick-Up Fighting: รถกระบะหลังวิกฤติน้ำท่วม

สวัสดีพี่น้องชาว SME หรือ SMEfriend ทุกๆคน หลังจากหายไปกว่าสองสัปดาห์ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ เพราะช่วงที่ผ่านมางานประจำ (บอกเลยว่างานออกแบบบ้าน) นั้นรัดตัวมากเพราะเหมือนกับว่ากลับไปเริ่มจุดใหม่ เพิ่งจะมีสัปดาห์นี้ล่ะที่มีเวลาว่างมากพอที่จะเขียนได้ ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องที่อยากเขียนนั้นมีมากมายอยู่ในหัวแต่ไม่มีมือจะมาเขียน นี่ถ้าหากว่า Apple พัฒนาโปรแกรม Siri ให้สามารถพิมพ์ตามคำบอกได้จะดีมากเลย เอาล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้มาวิเคราะห์ตลาดรถกระบะหรือชาวบ้านเรียกว่า “รถปิ๊กอัพ” เพราะตอนนี้หลายๆค่ายได้ปล่อยหมัดเด็ดออกมา หลังจากที่ในช่วงภาวะน้ำท่วมที่ผ่านมา รถปิ๊กอัพได้ถือว่าเป็นพาหนะที่น่าจะนำมาใช้สอยได้ในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งเมื่อตอนน้ำท่วมที่ผ่านมา ค่าย Chevrolet ได้ทำการโปรโมต “เชฟวี่ โคโลราโด” ออกผ่านทางสื่อช่อง 7 ในช่วงของการรายงานข่าวภาคสนามทำเอาชื่อของ “โคโลราโด” นั้นติดหูชาวบ้านไปพักใหญ่

ในส่วนของการวิเคราะห์วันนี้ผมไม่ขอลงไปเรื่องของเทคนิคหรือสเปกของรถสักเท่าไหร่ เพราะแต่ละค่ายทั้งโตโยต้า อีซูซุ เชฟโรเลต มิตซูบิชิ นิสสัน มาสด้าและฟอร์ด นั้นก็มีรถกระบะสเปกใกล้เคียงกันอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมจะมาวิเคราะห์ Position หรือตำแหน่งของการตลาดของแต่ละค่ายว่าอยู่ตรงไหน กลุ่มเป้าหมายนั้นคือใคร เอาเป็นว่าผมนั้นไล่กันตามตัวอักษรเลยดีกว่า

เชฟโลเลต “โคโลราโด” เปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ของความแกร่งสมบุกสมบันผ่านภาพของกองเห็นภูเขามหึมา เพื่อตอกย้ำความเป็นกระบะพันธุ์แกร่งอันดับต้นๆของอเมริกา ด้วยแคมเปญ 100 ปีของบริษัทฯ จากนั้นก็ขยับเข้ามาหาคนไทยมากขึ้นด้วยการเปิดตัว “ปอ ทฏษฎี” พระเอกอารมณ์ดีของช่อง 3 ที่ภาพลักษณ์อบอุ่นเอาใจคนต่างจังหวัดและรากหญ้า (ดูจาก theme ของโฆษณาได้) ซึ่งก็ย้ำได้เลยว่าเชฟฯนั้นเอาจริงๆกับการแชร์ส่วนแบ่งมาจากแชมป์อันดับหนึ่งอย่างโตโยต้า วีโก้ได้เลย

ฟอร์ด “เรนเจอร์” ซีรีย์เดิมแต่เปลี่ยนลุคกลับมาพร้อมกับโฆษณาที่บ่งบอกของความสมบุกสมบันทั้งพื้นถนนแบบหินลูกรัง น้ำขังเจิ่งนอง ทะเลทรายมากมาย ขึ้นเขาลงห้วยฟอร์ดไปได้หมด แสดงถึงสมรรถณะรถพันธุ์แกร่งจากอเมริกา โดยไม่ต้องใช้พรีเซนเตอร์เข้ามาช่วย แค่เน้นการแสดงของสปอตโฆษณาหลากหลายโลเกชั่นเพื่อให้ผู้ที่สนใจสัมผัสถึงตัวรถได้ แต่ต้องบอกเลยว่ากลยุทธ์นี้อาจจะเหมาะกับฝั่งตะวันตกเพราะผู้คนเขารับรู้ได้เอง แต่ถ้าใช้โฆษณาแบบนี้ในไทยอาจจะได้ลูกค้ายาก เพราะคนไทยต้องเน้นพูดๆๆๆๆบอกๆๆๆๆ สื่อสารให้เข้าเป้าของกลุ่มเป้าหมาย ถึงจะเข้าไปในสมอง ก็อาจจะเป็นแบรนด์ที่ต้องทำการตลาดแบบหืดขึ้นคอหน่อย

อีซูซุ “ดีแม็กซ์ V-Cross” เปิดตัวด้วยพระเอก 4+1 จากช่อง 3 “บอย ปกรณ์” ที่เน้นภาพลักษณ์ของวัยรุ่นถึงวัยทำงาน โดยในตัวโฆษณานั้นเน้นถึงสมรรถณะรถที่สามารถใช้ได้ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดในพื้นที่ทุรกันดาร โดยต้องการกวาดทุกๆ segment เหมือนเดิม หลังจากรุ่นที่แล้วพลาดท่าพ่ายให้กับวีโก้ในกลุ่มรากหญ้า แต่สำหรับคนเมืองก็ต้องยอมรับว่าอีซูซุเขากินขาดมานานแล้ว ด้วยภาพลักษณ์ที่ “ซื้อง่าย ขายได้ราคาดี” แต่การนำเอา “บอย ปกรณ์” มาเป็นพรีเซนเตอร์กระตุ้น กลุ่มวัยรุ่นนั้นดูแล้วท่าจะต้องลำบากหน่อยเพราะต้องยอมรับว่าค่านิยมของวัยรุ่นและวัยทำงานนั้นเขาจะเน้นรถยนต์เป็นหลัก ก็ต้องถือว่าต้องรอดูบารมีของ “บอย ปกรณ์” ว่าจะดึงดูดโน้มน้าวได้ดีขนาดไหน แต่ส่วนตัวผมว่าพรีเซนเตอร์คนนี้ยังไม่โดนเท่าที่ควร

มาสด้า “บีที 50 โปร” ซีรี่ย์เดิมแต่ all new ทั้งคัน พร้อมกับ theme ของบทบาทคุณพ่อ “ผู้พันเบิร์ด” ที่มาพร้อมสปอตสองตัวโดยตัวแรกเน้นการขับในพื้นที่ทุรกันดาร อีกตัวเป็นการขับขี่ในเมือง แต่แอบมีกลิ่นอายของภาวะน้ำท่วมนิดๆ ซึ่งจากรูปทรงของรถที่ยอมรับว่าฉีกแนวของรถกระบะโดยสิ้นเชิง อาจะเข้าตาของกลุ่มวัยทำงานสังคมเมืองก็เป็นได้ เพราะเฉี่ยวมากๆ ซึ่งตัวมาสด้าเองต้องยอมรับในเรื่องของการดีไซน์ที่ได้ใจมาตั้งแต่มาสด้า 3 มาจนมาสด้า 2 ซึ่งต้องลุ้นว่าการดีไซน์ล้ำจะทำตลาดให้รถกระบะได้เหมือนรถยนต์สองรุ่นที่กล่าวมาได้หรือไม่ แต่ในส่วนตัวของผมนั้นยกให้เลยว่ามีโอกาสเป็นไปได้ทั้งตัวราคาเองก็ตอบโจทย์เหมือนกัน

มิตซูบิชิ “ไตรตัน” เป็นโมเดลเก่าแต่ปรับสภาพใหม่นิดนหน่อย มาพร้อมกับพรีเซนเตอร์ขาร็อกคนเดิม “ตูน บอดี้สแลม” ซึ่งต้องบอกเลยว่ามาเอาใจวัยโจ๋โดยเฉพาะ แต่รู้สึกว่าไม่ช่วยเท่าไหร่ โชคดีที่โมเดลนี้ถูกดีไซน์มาล้ำอยู่แล้ว บวกกับ accessories ภายในรถที่บอกว่าคุ้มกับราคาจริงๆก็คงจะประคองการต่อสู้ในสงครามนี้ไปได้ แต่ส่วนตัวต้องบอกเลยว่าต้องพัฒนาสปอตให้สือถึงรถมากกว่านี้ อย่าไปเน้นเสียงของ “พี่ตูน” มาก แต่ก็ยังแก้เกมโดยเน้นไปทางแคมเปญแจกทองซึ่งแชมป์อย่างวีโก้เคยทำได้ผลมาแล้ว

โตโยต้า “วีโก้” ตอนนี้วีโก้ให้ความสำคัญกับ “สมาร์ท แคป” อย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ส่งพรีเซนเตอร์ระดับโลกอย่าง “คริสเตียโน โรนัลโด้” มาแทนที่ “ป๋อ ณัฐวุฒิและ ตุ๊กกี้” หลังจากหมดแคมเปญ “จิ๊บๆ” วีโก้ก็ใช้โรนัลโด้เปิดตัวความเป็นกระบะระดับโลกเอาใจวัยรุ่นและวัยทำงานอย่างแท้จริง แต่กระนั้นผมว่าก็ไม่สามารถเข้าถึงรากหญ้าซึ่งเป็นกลุ่มหลักได้เท่าที่ควร เพราะรากหญ้าจะมีสักกี่คนที่รู้จักโรนัลโด้ ผมว่าจริงๆแล้ว “ป๋อ+ตุ๊กกี้” ก็ยังหากินกับกลุ่มนี้ได้สบายๆ แต่ก็เข้าใจว่าต้องการสื่อโตโยต้า วีโก้ให้เป็นความอินเตอร์มากขึ้น

ต้องยอมรับว่าตลาดรถกระบะปีนี้เขาฟัดกันนัวดีจริงๆ อาจเป็นเพราะผลพวงจากน้ำท่วมที่ผ่านมาทำให้คนกลับมาสนใจรถยกสูงกันมากขึ้น ก็ต้องดูต่อไปว่าใครจะชนะจะแพ้หรือทรงตัวในสงครามครั้งนี้ เจ้าของแชมป์อย่างวีโก้จะรักษาส่วนแบ่งเดิมได้หรือไม่ หรือว่าดีแม็กซ์จะแรงดีไซน์เอาชนะไปได้ มอเตอร์โชว์ครั้งนี้ถ้ามีการจัดก็คงรู้กัน พบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ....

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

Watching Big Brands: มองแบรนด์ดัง ปรับแบรนด์ตัวเอง

สวัสดีพี่น้องชาว SME หรือ SMEfriend ทุกๆคน หลังจากหายไปกว่าสัปดาห์ วันนี้ก็กลับมาให้หายคิดถึง โดยวันนี้กลับมาเรื่องของการตลาดสักหน่อย เพราะหลายวันที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้นั่งคิดเล่นๆเกี่ยวกับแบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบหลายอย่างที่เกิดขึ้นตามมา วันนี้จะเอามาเล่าให้ฟังหลายๆตัวอย่างเลยล่ะกัน แล้วก็หวังว่าหลายๆคนที่อ่านจะเอาไปปรับตัวเพื่อใช้กับธุรกิจของตนเอง

Apple เริ่มกันด้วยความเปลี่ยนแปลงของบริษัทยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์ หลังจากการจากไปของ CEO “Steve Jobs” หลายๆคนก็นึกว่าถึงคราวที่ยักษ์ใหญ่จะเพลี้ยงพล้ำ เพราะคู่แข่งอย่าง Samsung นั้นได้กระหน่ำออกสินค้ามาก แต่ที่ไหนได้ ภายใต้การนำทัพของ Tim Cooke ซีอีโอคนใหม่นั้นกลับตรงกันข้าม เพราะรายได้จากการขาย iPhone 4S นั้นมีสถิติมากกว่าตอนที่จ๊อบส์อยู่เสียอีก และอีกเร็วๆนี้ก็จะปล่อย iPad3 ออกมาตอกย้ำผู้นำด้านแท็บเลตอีกครั้ง ซึ่งเหตุผลของเรื่องนี้ตอบได้เลยว่าสาวกของแอปเปิ้ลไม่ได้ยึดติดกับบุคคล เพราะเขายึดติดกับผลิตภัณฑ์มากกว่า ลูกค้ายังเชื่อใจในสินค้าของแอปเปิ้ล ส่วนตัวบุคคลก็เป็นอีกเรื่องไป แต่ถ้ามองกลับมาที่บ้านเราอย่าง OISHI ที่เมื่อคุณตันขายหุ้นทั้งหมดและได้ลาออกไปหลังจากอยู่ช่วยมา ก็พบว่าผู้บริหารคนใหม่ยังไม่เข้าใจการตลาดของคุณตันแม้แต่น้อย ทำให้ ICHITAN ก้าวจาก New Comer เข้ามาเป็นคู่แข่งที่สำคัญของสงครามชาเขียวไปได้ ทิ้งห่างยักษ์อีกรายอย่างเพียวริคุไปเลย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “คุณภาพยังไงก็มาก่อน”

Truemove H 3G+ หลายๆคนยังไม่รู้ว่า Truemove นั้นจะหมดสัมปทานมือถือในปี 2555 นี้ ดังนั้นจะต้องมีอีกเครือข่ายมารองรับลูกค้ากว่าสิบล้านเลขหมาย ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายดังกล่าวนั้นจะสร้างความสับสนมึนงงให้กับลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิมมากทั้งการเปลี่ยนเครือข่ายและความมั่นใจเครือข่ายในอนาคต H เลยจัดการออกแคมเปญ 3G ทั่งประเทศมากลบความสับสนที่จะเกิดขึ้น ด้วยการนำเอา 3G มาหลอกล่อให้ลูกค้ายอมลำบากเปลี่ยนจาก Truemove ธรรมดามาเป็น Truemove H 3G+ ซึ่งลูกค้าจะมองข้ามความยุ่งยากไปเนื่องจากได้คุณภาพของเครือข่ายที่ดีขึ้นในด้านการเชื่อมต่อ ซึ่งรวมถึงโปรโมชั่นที่จัดหนักเพื่อดึงดูดลูกค้ารีบเปลี่ยนเครือข่ายก่อนจะถึงสิ้นปี ซึ่งจะเกิดความโกลาหลมากกว่านี้ รวมถึงช่วงเวลาดังกล่าวคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง DTAC เองก็เพลี้ยงพล้ำกับการบริการสุดห่วยด้านอินเตอร์เน็ตและกลยุทธ์ที่ผิดพลาดดันไปลงทุนในด้าน WIFI บนห้างสรรพสินค้า โดยลืมสนใจไปว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของตนนั้นมีทั้งกทม.และต่างจังหวัด ซึ่ง ณ ช่วงนี้เองอาจจะทำให้ Truemove หรือ H 3G+ อาจจะแซงขึ้นมาเป็น Market Share อันดับสองก็ได้ ต้องดูกันยกต่อยกเลยก็ว่าได้
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “กลยุทธ์ผิด คิดจนตัวตาย”

TESCO LOTUS หลังจากเมื่อปีที่แล้วได้เกิดสงครามเส้นเขียวเกิดขึ้นกับสองห้างยักษ์อย่าง Lotus และ BigC จนเหมือนกับว่า BigC จะแพ้ไปเนื่องจากโลตัสได้เปรียบการเข้าถึงมากกว่าในพท.ต่างจังหวัด แต่ BigC เองก็แก้ลำแก้เกมกลับมาด้วยการจัดหนักบอกทั้งประเทศว่า “ของตนเองถูกกว่า” แถมยังบอกว่าสินค้าของคู่แข่งใดใครถูกกว่าจะคืนเงินพร้อมชดเชยให้ด้วย แถมการ Take Over ห้างดังอย่างคาร์ฟู ทำให้ BigC ยังอยู่ใน เกม จนมาถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Lotus ได้ประกาศว่าของตนถูกกว่าที่อื่นกว่าหมื่นรายการ เล่นเอาสงคราวห้าง Convenience Store กลับมาระอุรับหน้าร้อนและเทศกาลสงกรานต์อีกครั้ง ซึ่งเมษายนนี้จะได้เห็นแต่ละค่ายกลับมาจัดหนักอีกแน่นอน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่ายอมแพ้ ทุกปัญหามีทางออก”

รายการชิงร้อยชิงล้าน ช่า ช่า ช่า ระเห็ดระเหินออกจากช่อง 7 หลังจากการปลดฟ้าผ่าคุณแดง ทำให้เฮียประวิทย์ไม่รอช้า หลังจากกุมขมับมานานกับเรทติ้งของ ”ตีสิบ” ที่ตกลงอย่างน่าใจหาย ดันดาราก็ออกทะเลไปเยอะ เรื่องผีก็กู้ชื่อไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่า “เสี่ยตา ปัญญา” เขาเป็นเจ้าพ่อทีวีอยู่แล้วจัดหนักละครสามช่าชิงเรทติ้งไปครองหลายปี สบโอกาสก็ชวนเข้าบ้านพระรามสี่เพื่อจะได้ประกาศ “ข้าครองทีวี” แบบเบ็ดเสร็จ หลังจากย้ายมาปุ๊บ เสี่ยตาก็จัดหนักปั๊บโดยการเพิ่มสเกลของละครสามช่าเข้าไปให้นานและยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ชมในกลุ่มที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งหลายคนคาดการณ์ว่าไม่น่าจะไปรอดเพราะรายการนี้ไม่คุ้นเคนยกับช่วงเวลาประมาณบ่ายสามโมงวันอาทิตย์ ที่ไหนได้กลับได้ขยายกลุ่มคนดูได้เพิ่มอีกต่างหากทำให้บ่ายสามเป็นช่วงเวลา “ช่า ช่า ช่า” อย่างแท้จริง ซึ่งเรียกได้ว่าครองช่วงเวลาเจ้าเดียวในประเทศเลยก็ว่าได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ปรับปรุงตัวเองเข้าสถานการณ์เสมอ”

สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกัน หวังว่าคงได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

AEC Effects: ผลกระทบการท่องเที่ยวไทยหลัง AEC

สวัสดีพี่น้องชาว SME หรือ SMEfriend ทุกๆคน หลังจากหายไปกว่าสัปดาห์ วันนี้ก็กลับมาให้หายคิดถึงกับบทความที่ ณ ตอนนี้เมื่อดูจากสถิติของบล็อกก็ต้องเน้นไปเรื่องของ AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะเกิดขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า (2015) หรือปีพ.ศ. 2558 ซึ่งเชื่อว่าหลายล้านคนในประเทศไทยยังไม่ทราบเรื่องและก็คิดว่าเมื่อเวลามาถึงก็อาจจะงงและปรับตัวไม่ได้ ซึ่งยังไงถ้ายังไม่เข้าใจในรายละเอียดก็สามารถกลับไปหาอ่านได้จากบทความของ SMEfriend เก่าๆดูนะครับ ตามลิงค์นี้เลย


วันนี้กลับมาพูดถึงอีกครั้งเพราะเนื้อหาสำคัญของ AEC คือการเคลื่อนย้ายทุน วัตถุดิบ แรงงานได้อย่างเสรีโดยไม่มีการกีดกันระหว่าง 10 ประเทศอาเซียน สำคัญแค่ไหนไม่รู้แต่พม่าก็ยังเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แล้วกัน ซึ่งวันนี้จะมาพูดถึงการท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยที่ได้รับผลกระทบแน่นอนเพราะว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางหรือฮับในเรื่องของการบิน ซึ่งจะทำให้มีผู้คนเข้าออกมาประเทศมากมายปีละหลายสิบล้านคน ทั้งในเรื่องของธุรกิจและการท่องเที่ยว (ทั้งในและนอกประเทศ) ซึ่งจริงๆแล้วผู้ประกอบการหลักๆในธุรกิจท่องเที่ยว เช่น ภาคบริการ โรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวจะต้องปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งไทยนั้นจะเป็นจุดกระจายของนักท่องเที่ยวคาบสมุทรอินโดจีนนี้ทั้งทางพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซียและสิงคโปร์


กลับมาเรื่องของท่องเที่ยวกันต่อ มองจากภาพกว้างในการเป็นฮับ ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงและเต็มๆหลังจากที่นักท่องเที่ยวหรือผู้โดยสารลงจากสนามบินสุวรรณภูมิ ก็คือ ธุรกิจการขนส่ง เช่น แท็กซี่ รถลิมูซีน รถบัสปรับอากาศ นั้นจะได้รับอานิสงไปเต็มๆ ดังนั้นธุรกิจดังกล่าวจะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงในด้านของการบริการหรือ Service Mind ทั้งของพนักงานขับรถ พนักงานต้อนรับ และที่สำคัญคือในเรื่องของภาษา ที่ต่อไปภาษาอังกฤษนั้นจะมาเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อการค้าขายมาก หากเกิดปัญหาการสื่อสารก็อาจจะเกิดความไม่พอใจของลูกค้าก็เป็นได้


ต่อมาคือของภาคบริการที่อยู่ในเส้นทางของการท่องเที่ยว ต้องบอกก่อนเลยว่าจะต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อยก็คือ
1) ภาคบริการในส่วนของเส้นทางท่องเทียวภายในประเทศ
2) ภาคบริการในส่วนของเส้นท่องท่องเที่ยวในภูมิภาค


ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบเต็มๆแต่ก็ไม่ได้แปลว่าสองเส้นทางจะเป็นเส้นเดียวกัน เพราะเป็นที่รู้ดี
ว่าการท่องเที่ยวในประเทศนั้นจะเป็นพวกแหล่งท่องเที่ยวดังๆ เช่น กทม. อยุธยา เชียงใหม่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ชลบุรี ซึ่งก็จะมีปริมาณนักท่องเที่ยวมากเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งธุรกิจภาคบริการ ได้แก่ ที่พัก ร้านอาหาร รถเช่า ฯลฯ จะต้องมีการปรับตัวในเชิงกลยุทธ์เพื่อดึงดูดและรองรับลูกค้าเอาไว้ เพราะการที่ปรับตัวได้ก่อนและมีการยืดหยุ่นในกลยุทธ์สูงก็จะสามารถรองรับลูกค้าได้ดีกว่า ซึ่งเรื่องของการบริการและภาษายังเป็นประเด็นสำคัญมาก


ในส่วนของกลุ่มเส้นทางท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนนั้นจะเริ่มมีการท่องเที่ยวที่คึกคักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะไทยสามารถเข้า-ออกประเทศเพื่อนบ้านได้หลายทาง เนื่องจากมีชายแดนติดกันไม่มีทะเลขวางกั้น ซึ่งจังหวัดที่อยู่ในชายแดนที่มีช่องผ่านใหญ่ เช่น อรัญประเทศ (สระแก้ว) แม่สอด (ตาก) แม่สาย (เชียงราย) หนองคาย อะไรพวกนี้จะมีนักท่องเที่ยวที่เป็นคนละกลุ่มกับปัจจุบันเพราะต้องการเอาไทยเป็นช่องทางผ่านไปเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นในเมื่อเราเป็นทางผ่านซึ่งก็จะต้องปรับตัวเองให้รองรับ หรือการดึงดูดนักท่องเที่ยวเอาไว้ให้เม็ดเงินอยู่กับประเทศไทยมาก อย่างน้อยการปรับปรุงเรื่องสถานที่พักเพื่อรอออกนอกประเทศก็จะทำเงินให้มากขึ้น ในส่วนของจังหวัดรายทางนั้น การเป็นจุดพักรถไม่ว่าจะชั่วคราวหรือค้างคืนก็ต้องให้ความสำคัญอย่าคิดว่าขับรถ หรือนั่งเครื่องบินผ่านไปแล้วจบ อย่างน้อยก็ต้องมีกลยุทธ์ให้เงินออกจากกระเป๋าให้ได้บ้าง

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Renovation before Banned: ปรับปรุงและออกแบบรีสอร์ทป้องกันยี้

สวัสดีชาว SMEfriend ทุกๆท่าน ห่างหายไป 7 วันเต็มๆ แต่ยังไงแล้วเวลาก็ไม่สามารถขวางกั้นเรื่องราวที่อยากแชร์แบ่งปันให้กับเพื่อนๆชาว SME เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตนเอง วันนี้เป็นบทความแรกที่พบกับความแปลกใหม่ คือการปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอผ่านไฟล์ภาพ .jpg ใน Facebook เพื่อให้เพื่อนๆที่อ่านผ่าน FB ทั้งเครื่องพีซีและมือถือจะได้ไม่ต้องเสียเวลาโหลดเพจนาน แต่ยังไงก็อย่าลืมไปอ่านที่ smefriendblog.blogspot.com กันนะครับ เพราะในนั้นยังมีอะไรอีกมากมาย รับรองเราเน้นประโยชน์สำหรับทุกคน

เรื่องนี้เป็นหลายๆประสบการณ์ที่ไปพบเจอมาด้วยตนเองและจากหลายๆคนได้เล่าสู่กันฟังมาคือการไปพักตามรีสอร์ทขนาดเล็กแล้วพบกับเรื่องไม่น่าประทับใจ เช่น สถานที่ ห้องน้ำ ฯลฯ เนื่องจากผมเองก็เกี่ยวข้องกับการออกแบบบ้านมานานและพอรู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่พบ ก็เลยอยากจะนำปัญหาพร้อมแนวทางแก้ไขเพื่อเอาไปแก้ไขปรับปรุงรีสอร์ทของแต่ละคน หวังว่าคงจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ เราจะมาเริ่มจากในตัวบ้านก่อนเลย

1. เฟอร์นิเจอร์ นอกจากความสวยงามแล้ว เรื่องความสะอาดยังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่เนื่องจากรีอสร์ทขนาดกลางและขนาดเล็กนั้นต้นทุนไม่สูงจึงนิยมเรื่องเฟอร์นิเจอร์ราคาถูกรูปแบบธรรมดามาใช้ ซึ่งหารู้ไม่ว่านั่นจะสร้างปัญหาตามมา โดยเฉพาะเรื่องยี้ที่ลูกค้าไม่อยากกลับมาเลย ยกตัวอย่างเช่น เตียงและที่นอน รีสอร์ทส่วนใหญ่ชอบใช้เตียงที่เป็นแบบทึบ คือด้านล่างทึบปิดสนิท แต่หารู้ไม่ว่าฝุ่นและเศษต่างๆจากที่นอนและพื้นจะเข้าไปหมักหมมข้างใต้และไม่สามารถทำความสะอาดได้ การแก้ปัญหาคือการใช้เตียงแบบสี่ขาโล่งจะดีกว่า เพราะแต่ละครั้งที่เข้ามาทำความสะอาดก็สามารถกำจัดฝุ่นออกไปได้ เพียงแต่ต้องเพิ่มความขยันของพนักงานทำความสะอาดมากขึ้น ในส่วนของเตียงนั้นแนะนำให้ลงทุนมากหน่อย อย่าไปใช้เตียงสปริงแบบธรรมดาเพราะอายุการใช้งานไม่ยั่งยืน ควรใช้ที่นอนที่เป็นใยมะพร้าวอัดแน่น เพราะช่วยเรื่องของฝุ่นที่สะสมแล้วยังมีอายุการใช้งานยาวนานด้วย เพิ่มเติมอีกเรื่องคือ ตู้เย็น หลายๆรีสอร์ทมักให้ลูกค้านำอาหารไปปรุงแต่งทำกินเองได้ ทำให้ตู้เย็นเกิดปัญหาเหม็นคาว ยิ่งถ้าพนักงานไม่ดูแลจะทำให้เกิดการหน่ายใจของลูกค้ารายใหม่ได้ อันนี้แนะนำให้รีสอร์ทสนับสนุนตู้แช่ใหญ่มาบริการ โดยไว้ที่ส่วนกลางจะดีกว่า จะได้หมดปัญหาไป
เตียงแบบนี้ไม่แนะนำ
เตียงแบบนี้แนะนำ

2. ห้องน้ำ เป็นเรื่องปัจจัยสำคัญในการจดจำว่ารีสอร์ทเราดีไม่ดีอันดับต้นๆ เพราะลูกค้าจะใช้เวลาบนเตียงและห้องน้ำเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาของรีสอร์ทเรื่องห้องน้ำคือ ความสะอาด อุปกรณ์สุขภัณฑ์ เครื่องทำน้ำอุ่น และการระบายน้ำ ว่าด้วยเรื่องของความสะอาดกันสักนิด การเลือกใช้สีของกระเบื้องนั้นถือว่าสำคัญ บางรีสอร์ทชอบคิดว่าใช้สีขาวหรือครีมจะสะอาดตา ซึ่งก็จริงแต่หสกพลาดทำความสะอาดไม่หมดล่ะก็จะเป็นเรื่อง เพราะลูกค้าหลายๆคนไม่ชอบเห็นคราบเลอะบนพื้นหรือผนัง ทางแก้ง่ายๆคือการเปลี่ยนสีของกระเบื้องให้ออกสีน้ำตาลอ่อนๆ (อย่าเข้มมากเพราะจะทำให้ห้องเล็กลง) ถ้าจะให้ดีก็ต้องเลือกกระเบื้องที่มันวาวมากหน่อย เพื่อจะได้ทำความสะอาดง่ายๆ ส่วนเรื่องของอุปกรณ์สุขภัณฑ์และเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งหลายๆรีสอร์ทขาดการดูแลอันเนื่องมาจากต้นทุนการซ่อมแซมสูงและบ่อย อันนี้ต้องระวัง คงต้องได้แต่เน้นย้ำเลย โดยเฉพาะเรื่องของสายดินเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องติดทุกเครื่องถ้าไม่อยากให้โรงแรงมคุณเป็นโรงแรมผีสิง และต้องเตรียมพร้อมยามเข้าสู่ฤดูหนาว ในส่วนของการระบายน้ำ ต้องพูดถึงเรื่องท่อเป็นอันดับแรก เพราะการใช้ท่อที่ถูกขนาดก็จะทำให้การระบายน้ำได้ดี ไม่ช้าและเอ่อล้นห้องน้ำ เพราะจะสร้างความขยะแขยงให้กับลูกค้าได้ ท่อน้ำดีขั้นต่ำต้องขนาด ½”-1” ท่อน้ำทิ้งต้องประมาณ 2” ขึ้นไป และท่อจากส้วมต้องขนาด 4” ถึงจะดีที่สุด และขอพูดต่อถึงเรื่องถังบำบัด เพราะเป็นจุดตายเลย เนื่องจากว่าปัจจุบันมีกฎหมานสิ่งแวดล้อมออกมาเพื่อให้ส่วนท้องถิ่นดูแลน้ำเสียที่ออกจากรีสอร์ท ใครไม่ทำตามระวังให้ดีนะครับ ผมแนะนำเลยว่าถังบำบัดสำเร็จนั้นเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะช่วยได้มาก ทั้งแบบบ่อเกรอะอย่างเดียว (ต้องมีถังดักไขมันแยก) หรือแบบบ่อเกรอะและดักไขมันในตัว อย่างไรก็ตามมันขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละคนเพราะถังประเภทนี้ราคาตั้งแต่ 3,000-30,000 บาท

3. พื้นห้องและระเบียง พื้นห้องนอนหลายๆที่นิยมเป็นกระเบื้องเซรามิคเพราะราคาถูกรักษาง่ายด้วย ซึ่งก็จริงแต่ต้องหมั่นดูแล เพราะเซรามิคถ้าโดนความมันหรือเม็ดดินเข้ามาก็จะทำไม่น่าใช้ ส่วนพื้นพรมนั้นผมว่าเลิกเถอะเพราะดูแลยากมาก สะสมฝุ่นและเปื้อนก็ต้องถอดออกใหม่ ส่วนระเบียงห้องนั้นอยากให้ทำ Slope สำหรับให้น้ำระบายได้ทันเวลาฝนตก เพราะไม่งั้นจะสกปรกและลื่นเป็นอันตราย ถ้าเป็นหินขัดก็จะดีมากเพราะปลอดภัยกว่าเซรมิค

4. เครื่องปรับอากาศ เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่อง เพราะหลายๆรีสอร์ทมาตกม้าตายเรื่องแอร์นี่ล่ะ ใช้ของเก่ามือสองบ้างหรือยีห้อโนเนมบ้าง ซึ่งสุดท้ายก็พัง ก็ใช้งานไม่ได้ ลูกค้าก็ต้องเสียความรู้สึกเวลาเปิดมาแล้วไม่เย็น กลิ่นอับออกมา (แนะนำให้ติดเครื่องฟอกหรือพัดลมระบายอากาศไว้ก็จะดี)

5. รูปแบบของห้อง หรือหวงจุ้ยง่ายๆนั่นเอง ห้องพักที่ดีต้องแดดส่องถึงเพราะช่วยให้เกิดความสะอาดและสดชื่น ทิศทางลมต้องมี อย่าได้แต่วางๆบ้านไป ต้องดูทิศเหนือ-ใต้ หลังคาแนะนำให้เป็นแบบจั่วเพราะช่วยลดความร้อนและอากาศถ่ายเทได้ดีมาก ฝ้าห้องต้องโปร่งโล่งไม่เตี้ยเกินไป แนะนำให้ทำฝ้าตาม Slope ของจันทันหลังคาจะดีมาก เพราะจะทำให้ห้องโล่งและกว้างขึ้น ประตู-หน้าต่างๆอยู่ในตำแหน่งที่ถูกและมากเพียงพอ ความสูงของห้องต้องอยู่สูงกว่าพื้นดินประมาณ 60-100 ซม. เพราะจะช่วยลดความชื้นของดินและทำให้ห้องไม่สกปรกได้ หน้าห้องหรือบ้านพักแนะนำให้มีก๊อกล้างตัวเป็นแบบก๊อกธรรมดาหรือ Shower ก็ได้เพราะลูกค้าจะได้ล้างโน่นนี่ก่อนเข้ามาได้
วันนี้ก็ขอพูดเรื่องเกี่ยวกับภายในห้องเป็นหลักแล้วกันเพราะว่าลูกค้าจะสัมผัสได้มากกว่า ในส่วนของเรื่องบริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆนั้นก็ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของแต่ละที่ว่าจะเน้นเรื่องพวกนี้ขนาดไหน วันนี้ก็หมดหน้าพอดี พบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Owner or Franchising: ธุรกิจของเราหรือของเค้าดี?

สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้ง ช่วงนี้ห่างหายไปนานเพราะงานประจำทำเอาแต่ละวันหมดแรงจะพิมพ์เลย แต่สิ่งที่อยู่ในหัวนั้นมันมากมายเหลือเกิน แต่ยังไงก็จะพยายามให้ได้สัปดาห์ละ 1 บทความเป็นอย่างน้อย ช่วงนี้มีอะไรที่ส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของไทยเราเหลือเกิน ทั้งข่าวก่อการร้าย ข่าวเรื่องมาตรา 112 ล้วนแล้วส่งผลกระทบแน่นอนกับภาคธุรกิจ เพราะอย่างน้อยความเชื่อมั่นในการลงทุนก็หายไป


วันนี้มาพูดถึงเรื่องการค้าขายดีกว่า เพราะได้อ่านในหนังสือเล่มหนึ่งจำชื่อไม่ได้บอกไว้ว่า "ปีนี้เป็นปีแห่งธุรกิจแฟรนไชส์" ก็เลยจำมาแล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง สำหรับตอนนี้หลายๆคนยังลังเลว่าจะเปิดธุรกิจอย่างไรดี จะเริ่มต้นเองหรือหาผู้ช่วยมาช่วยดี ลองอ่านดูแล้วกันนะครับว่าจะเลือกแบบไหนดี


แฟรนไชส์คืออะไร
แฟรนไชส์ เป็นธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การซื้อแบรนด์และสินค้าของเจ้าของจริงไปขายต่อ โดยมีการบริหารงานเองหรือเจ้าของจริงมาบริหารให้ สามารถอธิบายให้เข้าใจง่าย จากตัวอย่าง "นาย ก. มีธุรกิจขายซาลาเปาและกาแฟอยู่ตลาดในตอนเช้า ต่อมาธุรกิจเริ่มดีขึ้นๆ จนลูกค้าต้องต่อคิวนาน จนลูกค้าหลายๆคนบ่น เขาจึงคิดจะขยายสาขาของร้านเพื่อให้ลูกค้าได้สะดวกในการซื้อมากขึ้น แต่การขยายสาขานั้นต้องหาหน้าร้าน (Shop) ตามแหล่งต่างๆซึ่งเขาไม่มีเวลาไปเสาะหา เพราะแค่ทำสูตรหมูหมักก็หมดเวลาในแต่ละวันแล้ว เขาจึงต้องหาคนที่จะนำไปขายแทน นาย ข. เป็นลูกค้าประจำของนาย ก. ได้ยินนาย ก. บ่นเรื่องขยายสาขา จึงบอกนาย ก. ว่าจะขอนำซาลาเปาไปขาย นาย ก. ลังเลใจแต่ใจก็อยากขยายกิจการ จึงบอกนาย ข. ว่าจะให้ซาลาเปาไปขายในลักษณะซาลาเปาดิบ ให้นาย ข. ไปนึ่งเองตามที่นาย ก. แนะนำวิธีไป แล้วให้ใช้ชื่อร้านของนาย ก. โดยจะต้องเสียค่าชื่อร้าน (คล้ายๆกับค่าลิขสิทธิ์) ให้นาย ก. ปีละ 1,000 บาท แค่นี้นาย ข. ก็มีธุรกิจเป็นของตนเองแล้ว" >>> จากตัวอย่างง่ายๆนี้ก็บอกให้เห็นความหมายของแฟรนไชส์
เจ้าของผลิตภัณฑ์ >>> ขายต่อสินค้า ลิขสิทธิ์ >>> ผู้ซื้อแฟรนไชส์
ขอบคุณภาพจาก http://www.giveyousuccess.com/wp-content/uploads/2010/01/Franchise.gif


ทำไมถึงต้องแฟรนไชส์
สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์เติบโตอยู่รอดต่อไปได้คือการเพิ่มจำนวนของผู้อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง (Owner) แต่เนื่องจากว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นใช้เงินทุนสูงพอสมควร เพราะเหมือนตั้งต้นตัวเองใหม่ทั้งหมด ทั้งการจัดซื้อวัตถุดิบ สถานที่ การตกแต่งร้าน คนงานในร้าน ข้าวของเครื่องใช้ ฯลฯ สารพัดที่จะนึกได้ ทำให้หลายๆคนยังลังเลว่าจะเริ่มต้นยัง แต่ธุรกิจแฟรนไชส์นั้นสามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมดที่เอ่ยถึงไว้ได้ดี เพราะธุรกิจแฟรนไชส์คือการก๊อปปี้เจ้าของมาให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ทันที ผู้ซื้อธุรกิจฯก็แทบไม่ต้องสรรหาอะไรมาให้เลย เพราะทั้งร้าน การตกแต่ง วัสดุ อุปกรณ์ จิปาถะนั้นธุรกิจฯเขาเตรียมไว้ให้ในจำนวนเงินที่จ่ายแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งมีค่าแฟรนไชส์ 50,000 บาท ซึ่งจำนวนเงินทั้งหมดนั้นรวมทุกอย่างไว้แล้ว รวมถึงการฝึกอบรมก่อนขายด้วย ยกเว้นแต่ค่าร้าน ค่าน้ำค่าไฟ และวัตถุดิบรายวันที่เป็นต้นทุนผันแปร


ยังไงดีระหว่างเจ้าของธุรกิจกับซื้อแฟรนไชส์
ประเด็นนี้ตอบยากเพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆด้านทั้งด้านการเงิน ความรู้เฉพาะบุคคล โอกาสธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งทั้งสองอย่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เช่น แฟรนไชส์ต้องทำตามกฎของเขาที่ตั้งไว้แต่ธุรกิจของตนเองสามารถปรับเปลี่ยนอะไรเองได้ตามสภาพความเป็นจริง หรือธุรกิจตนเองไม่ต้องเสียค่ารายปีหรือลิขสิทธิ์ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) แต่เจ้าของตนเองไม่ต้องมีส่วนนี้ หรือธุรกิจตนเองต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยจนกว่าจะเหมาะสม แต่แฟรนไชส์เขาเตรียมมาให้แล้วผิดถูกเขาลองมาหมดแล้ว ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องมาวิเคราะห์พวก SWOT หรือ Five Forces Model ดูเอาว่าธุรกิจของเราที่สนใจนั้นเริ่มต้นเหมาะกับอะไร จะเริ่มต้นแบบไหนก่อน


ก่อนจะจบจากกันไปในวันนี้ ผมอยากจะบอกว่าธุรกิจ เริ่มต้นมันไม่ได้สวยงามเหมือนที่ฝัน มันต้องล้มลุกคลุกคลานไม่ว่าจะแบบไหน แต่ขอให้เริ่ม..ก็ประสบความสำเร็จแล้ว


สุดท้ายนี้แนะนำเว็บไซต์รวมธุรกิจแฟรนไชส์หลายๆเจ้าเอาไว้ด้วยกัน ลองเข้าไปชมกันได้และเลือกให้เหมาะกับตัวเอง สวัสดีครับ...

www.thaifranchisecenter.com


http://www.franchise108.com/

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Organizational Culture: "วัฒนธรรมองค์กร" หรือ"ตัวกูของกู"

กลับมาอีกครั้งให้หายคิดถึงพร้อมกับลับสมองเพิ่มพูนความรู้ ไม่พูดมากให้เสียเวลา วันนี้กลับมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับ HR อีกครั้ง โดยจริงๆแล้วอยากเขัยนมานานแล้วแต่มันสัมผัสจับต้องไม่ได้ เลยต้องนึกมุขมาเขียนอธิบาย จนวันนี้เรามาจัดหนักกับ "วัฒนธรรมองค์กร" หรือ Organizational Culture ที่เราหลายๆคนพูดกันติดปากแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่


วัฒนธรรมองค์กรคืออะไร
วัฒนธรรม คือ สิ่งที่ดีงามสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นก่อนสู่รุ่นต่อๆมาโดยมีการปรับเปลี่ยนสภาพตามกาลเวลา อันนี้คือความหมายง่ายๆของวัฒนธรรมที่เราเคยเรียนกันมาในวิชาสังคมศาสตร์ ซึ่งเมื่อรวม "วัฒนธรรรม" กับ "องค์กร" เข้าด้วยกันก็สามารถอธิบายได้ว่า วัฒนธรรมองค์กร คือ สิ่งที่เกิดขึ้นภายในองค์กรไม่ว่าจะจับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้โดยมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงและสืบต่อกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน


อะไรที่เป็นวัฒนธรรรมองค์กร
จากความหมายที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น เราก็สามารถแยกแยะได้ว่า วัฒนธรรมองค์กรจริงแล้วนั้นจะต้องประกอบไปด้วย
1) มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
2) สืบสานสืบทอดต่อกันมา
ดังนั้นอะไรที่ไม่มีการพัฒนาในทางที่ดีและไม่มีการสืบสานต่อกันมาก็ถือว่าไม่เป็นวัฒนธรรมองค์กร โอเคเข้าใจตามนี้มั้ยครับ
ยกตัวอย่างวัฒนธรรมองค์กรมาง่ายสักหน่อยแล้วกัน เช่น
1. ให้ความสำคัญกับการศึกษาของพนักงานในองค์กร องค์กรแบบนี้ก็จะนิยมกับพนักงานที่จบสูงๆหรือไม่จบก็จะส่งไปเรียน โดยคิดว่าสามารถนำมาพัฒนาองค์กรได้
2. เน้นเทคโนโลยี องค์กรพวกนี้จะเป็นพวกบริษัทที่เกี่ยวกับไอที เช่น ไมโครซอฟท์ แอปเปิ้ล เป็นต้น
3. เน้นวัยวุฒิหรือคุณวุฒิ คือให้ความสำคัญกับอายุ ความอาวุโสหรือให้ความสำคัญกับความสามารถ
4. เน้นการปรับตัวเข้ากับสภาพเศรษฐกิจ พวกนี้จะมีบุคลากรและทิศทางองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสอดคล้อง
ที่ยกตัวอย่างมาก็เป็นแค่ัตัวอย่างง่ายๆพอให้ภาพนะครับ ส่วนพวกที่ขาดสององค์ประกอบ ผมขอเรียกว่า "กระแสสังคมแล้วกัน" เช่น กระแสการมาทำงานแล้วไม่ต้องตอกบัตร กระแสการปาร์ตี้หลังงานเลิก อะไรทำนองนี้


สิ่งที่มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กร
จากการที่วัฒนธรรมองค์กรนั้นมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนั้นก็มีปัจจัยหลายด้านทั้งภายในและภายนอก ได้แก่
1) การแข่งขันในธุรกิจ
2) นวัตกรรมภายในองค์กร
3) ระบบการให้บริการลูกค้า
4) ความสามารถของพนักงาน
5) การทำงานกันเป็นทีม
6) สภาพจิตใจของพนักงาน
7) เป้าหมาย วิสัยทัศน์ขององค์กร


การปรับเปลี่ยนของวัฒนธรรมองค์กร
การที่วัฒนธรรมองค์กรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ มีการปรับปรุงตลอดเวลา โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 จำพวก คือ
1. การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Innovation) แบ่งออกเป็นสองข้อย่อย คือ
1.1 การเกิดวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมา (Creating) ซึ่งแตกต่างจากเดิมทั้งหมด
1.2 การเปลี่ยนแปลงแบบวัฒนธรรมใหม่แทนที่วัฒนธรรมเก่า (Changing)


2. การดำรงซึ่งวัฒนธรรมเดิม (Cultural Maintenance) แบ่งออกเป็นสองข้อย่อย เช่นกัน คือ
2.1 การรวมวัฒนธรรมใหม่และเก่าเข้าด้วยกัน (Integrating)
2.2 การแทนที่ด้วยวัฒนธรรมใหม่ (Embodying)


นี่ก็เป็นเพียงรายละเอียดคร่าวๆพอสังเขปของวัฒนธรรมองค์กรสำหรับวันนี้นะครับ เพราะจริงๆแล้วเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากมาย โดยอยากให้ยึดว่าสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมองค์กรจะต้องประกอบด้วยสององค์ประกอบหลัก คือ การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีและการสืบสานต่อกันมา


วันนีัขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

3G Thailand: ฝ่าปัจจุบันมองกลยุทธฺ์ 3 ค่ายมือถือ

กลับมาอีกครั้งนะครับ หลังจากห่างหายไปนานพอควร แต่ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก เพียงแต่เหนื่อยล้ากับงานประจำ ทำให้หมดแรงในการเขียนทั้งๆที่ก็มีเรื่องมากมาย ทั้งเรื่อง AEC เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจปี 2012 เรื่องของทิศทาง SMEfriend แต่อะไรก็ไม่มาแรงเท่ากับเรื่องโทรคมนาคมในตอนนี้ ซึ่งมีการใช้กลยุทธ์มากมายอย่างรุนแรง โดยอดีตอันดับสามก็ประกาศลั่นขอขึ้นอันดับสอง โดยที่อันดับสองนั้นก็เสียท่ากับหลายเหตุการณ์ จน ณ บัดนี้หลาคนหมดความเชื่อถือแล้ว


สถานการณ์ 3G ปัจจุบัน
หลังจากที่คณะกรรมการกสทช.ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาแล้วเกือบ 6 เดือน แต่ก็ยังไม่เห็นผลงานอะไรเลยเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคม หรือไม่แน่ก็อย่างที่วงในสื่อหรือวงการออนไลน์แซวกันมาส่งคนไม่เชี่ยวชาญ (ส่วนใหญ่เป็นทหาร อ้างว่าเพื่อความมั่นคง หรือมั่งคั่งของใครไม่รู้) มาเป็นคณะกรรมการทำให้การเริ่มประมูล 3G นั้นล่วงเลยมานาน (ทั้งๆที่ตอนนั้นมีแค่กทช.จัดงานประมูลอย่างดีกลับถูกยกเลิกโดยคำสั่งสาร) หลายๆค่ายก็หาทางออกโดยการทำ 3G บนเครือข่ายเดิม (800 และ 900) โดยที่ dtac และ ais เริ่มนำร่องจากต่างจังหวัดก่อน แล้ว truemove ก็ตามมาติดๆ ทำให้จากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นความคืบหน้าของ 3G ในไทยนั้นแทบจะโตแบบก้าวกระโดด รวมถึงการมาแรงของสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone4 หรือการลุกตลาดแท็บเลตอย่าง Samsung ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ซึ่ง Gadget พวกนี้นั้นจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ต้องเชื่อมต่อสัญญาณ internet ทั้งแบบ EDGE และ WiFi ตลอดเวลา ทำให้ทุกค่ายหันมาเร่งกระจายสัญญาณ 3G กันทั่วบ้านทั่วเมือง


ใครทำอะไร ค่ายไหนมาแรง
เริ่มต้นจากค่ายใหญ่อย่าง AIS ที่โปรโมชั่นของสมาร์ทโฟนอาจจะราคาแพงไม่โดนใจมากนัก แต่เน้นสัญญาณของตัวเองที่ไม่ต้องพูดถึงคุณภาพนั้นคับแก้วอยู่ ได้ฤกษ์กระจาย 3G ในกทม.และหัวจังหวัดทางภาคต่างๆ โดยในปัจจุบันนั้นได้ให้บริการ 3G แบบเติมเงินด้วย ถูกใจคนรายได้น้อย ช่วยกระตุ้นลูกค้าแบบเติมเงินกลับมาหาอีก นี่ยังไม่รวมถึงการจับมือกับ 3BB ของจัสมิน ร่วมขยายเครือข่ายสัญญาณ WiFi ทั่วทุกภูมิภาคในทุกๆจังหวัด เพราะเดิมจริงๆแล้ว 3BB เปิดบริการอินเตอร์เน็ตทั้งแบบมีสายและไร้สายตามต่างจังหวัด ซึ่งได้รับการแบ่งลูกค้ามาจาก TT&T อีกที แต่กระแส WiFi ในต่างจังหวัดนั้นไม่เปรี้ยงมากนัก เลยทำให้ตัดสินใจร่วมกับ AIS สร้าง Synergy เพื่อเอาไว้สู้กับค่ายอื่นๆอีกทาง นี่ยังไม่รวมการรีแบรนด์เปลี่ยนโลโก้ด้วย
ลำดับต่อมาค่ายที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยอย่าง Truemove ที่แอบไปซื้อกิจการที่ใลก้ตายอย่าง Hutch มาเป็นของตนและแต่งตัวใหม่ร่วมทุนกับ CAT สร้าง Truemove H ขึ้นมาเปิดตัวฮือฮาอย่างมากโดยเน้นบริการ 3G ล้วนๆโดยโฆษณาใหญ่โตว่าของตนสามารถใช้ได้ทุกๆอำเภอเมืองของแต่ละจังหวัด รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวดังๆทั่วประเทศทั้งภูกะดึงและเขาใหญ่ เป็นต้น โดยจริงๆแล้วถ้าสืบไปสืบมาจะพบว่าจริงๆแล้วการซื้อ Hutch ของ Truemove นั้นก็คือการสร้าง 3G บน CDMA นั้นเอง ซึ่งกลายเป็นว่าลูกค้าที่เปลี่ยนจากทรูมูฟ เป็น ทรูมูฟ เอช นั้นจะต้องกลับไปใช้แบบ CDMA อีกครั้ง ทำให้บางครั้งเมื่ออยู่นอกอาณาเขตก็จะขึ้น "No Service" ใช้ได้แต่สัญญาณมือถือแต่ 3G นั้นใช้ไม่ได้ และ EDGE ก็ไม่มีด้วย อ้าว!!! ซวยล่ะสิ ใช่ครับ ผมบอกไว้เลยว่าถ้าใครจะเปลี่ยนเป็น Truemove H ขอให้คิดหน้าคิดหลังก่อน เพราะอย่างน้อยถ้าเป็นทรูมูฟแบบธรรมดา ไม่มีสัญญาณ 3G ก็ยังเล่น EDGE ได้ ลองคิดความเป็นไปได้เอาเองนะ แต่ ณ ตอนนี้ใครจะเข้ามาเป็นลูกค้าทาง Truemove ก็บังคับให้ไปใช้ H แทนเพราะจะได้เพิ่มลูกค้าขึ้นตามเงื่อนไขด้วย สรุปคือ ถ้าใครยังไม่รู้ Truemove H ไม่ใช่บริษัทลูกของ Truemove และใช้โปรฯร่วมกันไม่ได้ด้วย


มาถึงค่ายสุดท้ายอย่าง dtac ที่สงครามนี้ถือว่าพ่ายแพ้อย่างราบคราบ เพราะหลังเหตุการณ์สัญญาณหายทั้งที่กทม.และภาคใต้จนต้องลดค่ามือถือให้สองวันที่สัญญาณหายไป รวมถึงการนิ่งสงบเรื่อง 3G ที่เปิดตัวแต่กทม.และชลบุรีบางส่วนแล้วก็เงียบไปเลย แต่กลับไปเน้น WiFi ในกทม.แทนแต่ก็ดันทะลึ่งให้ใส่พาสเวิร์ดอีก ทำให้ลูกค้าส่ายหัวเป็นแถว ย้ายค่ายหนีกันให้วุ่น แต่ dtac ก็ยังนิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เปลี่ยน CEO มา นโยบายเลยเปลี่ยนตามหรือเปล่า รวมถึงมองแล้วบริษัทแม่อาจจะถอนหุ้นย้ายกลับบ้าน ทำให้เกิด Aftershock ซึ่งปรากฏการณ์นิ่งสงบนั้นมีมาตั้งแต่การเปิดตัวงาน 3G ที่ทะเลาะกับลูกค้าในการจองซื้อ iPhone ครึ่งราคามาแล้ว แต่ก็ไม่เข็ด และทุกวันยังไม่เข็ด dtac เองก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรมากนอกจากส่งจดหมายขอโทษของ CEO ทางอีเมลมาให้ลูกค้า ซึ่งมันไม่ใช่เลยสำหรับสังคมไทย


สรปุได้ตอนนี้เลยถ้าใครสนใจ 3G โดยตรงก็แนะนำ AIS เท่านั้นเลยที่พร้อมกว่าชาวบ้านเขา โดย Truemove H นั้นได้แค่หวือหวาฉาบฉวยเท่านั้น


พบกันใหม่ครั้งหน้านะครับ