วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

Power of Gear: หมุนเฟืองเพื่อองค์กร

สวัสดีชาว SMEfriend ทุกคน ต้องขอโทษด้วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้ลงบทความไปเพราะเหนื่อยจากงานประจำมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่เรียนมาทั้งป.ตรีและป.โทจะได้นำมาใช้งานจริงในช่วงนี้ แต่อย่างที่เคยบอกไว้นานแล้วว่าอยากเขียนบทความลงแต่มันไม่มีเวลา เรื่องน่ะมีเยอะโดยตอนนี้เล็งไว้หลายเรื่องที่จะมาวิเคราะห์ให้ทั้งเรื่องการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มในช่วงซัมเมอร์และเรื่องของประชาคมเษรษฐกิจอาเซียนก็ยังมีอีกเยอะมากเลย ก็หวังว่าเร็วๆนี้จะได้อ่านกันนะครับ

วันนี้มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า เรื่องต่อไปนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าประสบมาเองและแต่งจากประสบการณ์การทำงานล้วนๆเพราะเชื่อว่าทุกวันนี้คนจะเห็นแก่ตัวขึ้นเรื่อยๆทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตนเองและองค์กรลดลงได้ ซึ่งวันนี้จะขอเสนอเรื่องเกี่ยวกับการขับเคลื่อนในองค์กรโดยคน

สมัยเข้าไปเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์เมื่อสิบปีที่แล้ว ได้มีโอกาสได้เกียร์ทองของคณะแจกมา รุ่นพี่และอาจารย์บอกไว้ว่าทุกคนนั้นเปรียบเสมือนเฟือง (Gear) ตัวหนึ่งขององค์กร สังคมหรือหมู่คณะที่คอยขับเคลื่อน ซึ่งเฟืองแต่ละตัวก็มีหน้าที่ของตน ดังนั้นหากต้องการองค์กรให้ประสบความสำเร็จ เฟืองทุกตัวจะต้องทำหน้าที่หมุนสอดคล้องไปพร้อมๆกัน คิดกลับกันก็คือการที่เฟืองตัวใดตัวหนึ่งเกิดหยุดหมุน ฟันของเฟืองสึก กร่อนหรือแกนของเฟืองติดขัด เฟืองตัวอื่นๆก็ทำงานต่อไม่ได้ เช่นนั้นเององค์กรก็จะไม่เดินหน้าอย่างเต็มที่

รู้จักการทำงานของเฟือง>>>คน
เฟืองหรือเรามักเรียกทับศัพท์ว่าเกียร์ รูปลักษณ์ของมันส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะกลม ความหนาก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความสามารถในการทำงาน เฟืองแต่ละตัวจะมีขอบเป็นฟันซี่ๆรอบตัว ทำหน้าที่ให้เกิดการสัมผัสกับเฟืองอีกตัวสร้างแรงหมุนกลับทิศทาง (ตามรูป) ซึ่งการหมุนนั้นเองก็จะเกิดแรงขับเคลื่อนต่อๆกันไป เปรียบเฟืองก็เหมือนคน ฟันเฟืองและขนาดก็เหมือนวิชาความรู้และประสบการณ์ที่แต่ละคนมี การหมุนของเฟืองก็คือการทำงานของคน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปในองค์กร เช่นเดียวกับเฟือง อาจจะมีบางตัวทำหน้าที่เหมือนกัน (ตำแหน่งการงานเดียวกัน) บางตัวมีขนาดไม่เท่ากันก็เปรียบเสมือนตำแหน่งหน้าที่ในองค์กร แต่อย่างไรสุดท้ายทุกคนในองค์กรมีจุดมุ่งหมายคือความสำเร็จขององค์กร (เปรียบได้ก็เหมือนกับการทำงานของเครื่องจักร ที่สามารถเดินได้อย่างมรประสิทธิภาพ ไหลลื่นไม่สะดุดนั่นเอง...)

ปัญหาของคน>>>เฟืองไร้ประสิทธิภาพ
ในการทำงานของแต่ละองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เฉกเช่นเดียวกับเครื่องจักรแต่ละยี่ห้อก็ทำงานต่างกัน แต่ลักษณะงานเหมือนกัน บางองค์กรทำงานเร็ว เป็นทีม มีหน้าที่เฉพาะของแต่ละคนแต่ละตำแหน่ง งานก็ออกมาดีมีคุณภาพ เช่นเดียวกับเครื่องจักร หากเฟืองตัวใดตัวหนึ่งเกิดปัญหา (ปัญหาของเฟืองนั่นน้อยกว่าคนเยอะมาก) การทำงานของเครื่องจักรก็ไม่มีประสิทธิภาพ 100% ผลิตอะไร ออกมาก็ไม่เรียบร้อย ผลผลิตไม่ตามเป้า สุดท้ายลูกค้าก็ไม่ยอมรับการผลิตนั้น คนก็เช่นกัน คนก็เหมือนเครื่องจักร เพราะทำงานตามที่หัวหน้าโปรแกรมให้ไว้ แต่คนก็ถือว่าเป็นเครื่องที่ปัญหาเยอะมากทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว การงาน ฯลฯ (ไม่รู้จะพูดหมดไหม?) ซึ่งผู้บริหารซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของเครื่องจักรจะต้องมีหน้าที่คอยเอาคนมาตรวจสอบการทำงาน มาชำแหละดูเลยว่าเฟืองตัวไหนมีปัญหา ซ่อมได้ไหม แก้ไขได้ไหม ถ้าได้ก็ถือว่าโชคดีของเจ้าของไป แต่ถ้าไม่ได้ต้องเปลี่ยนเฟืองใหม่ เจ้าของก็เสียตังค์เพิ่มเปรียบได้กับการจ้างพนักงานเข้ามาแล้วทำงานไม่ตามเป้าหรือไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไป (มีอยู่เยอะในสังคม) ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแต่การเปลี่ยนก็ต้องการค่าใช้จ่ายหรือ Turn Over Cost เพราะกว่าจะเทรนพนักงานใหม่ให้เข้าใจงานได้ เฟืองตัวอื่นๆก็รอทำให้งานไม่ได้ผลตามต้องการ

ทางออกของเรื่องนี้
จริงๆแล้วเรื่องนี้แก้ปัญหาได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย เพราะอย่างที่บอกไป ปัญหาของคนมันมากกว่าเฟืองเยอะ เพราะคนมีสิ่งหนึ่งคือกิเลส เป็นสิ่งที่เฟืองจริงๆไม่มี กิเลสที่ว่าก็คือความอยากของแต่ละลำดับของ Maslow นั่นเอง ซึ่งแต่ละคนในองค์กรนั้นล้วนมีความอยากแตกต่างกันไปเพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ เพศ สถานะครอบครัว ตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งจุดนี้ผู้บริหารจะต้องลงมาดูเลยว่าในแต่ละลำดับขึ้นของ Maslow นั้นมีอะไรและควรใช้อะไรมาแก้ไขได้ ยกตัวอย่างเช่น ระดับพนักงานระดับปฏิบัติการ (Operator) ส่วนใหญ่นั้นต้องการเงินเดือนเพื่อเลี้ยงชีพ สวัสดิการทางสุขภาพ ส่วนพนักงานระดับหัวหน้างานก็จะเน้นความมั่นคงทางการงาน เส้นทางของอาชีพ (Career Path) พนักงานระดับผู้บริหารก็จะเน้นไปที่การยอมรับทางสังคม (ในที่ทำงาน) เป็นต้น หากว่าผู้บริหารสามารถตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้แล้ว อย่างน้อยก็จะขจัดปัญหาการเกเรไม่ยอมหมุนอย่างมีประสิทธิภาพของเฟืองลงไปได้

เฟืองกับพฤติกรรมของคน
หมุนช้า = ขี้เกียจ เบื่องาน เมาเหล้า เหยาะแยะ อิ่มตัวหมดไฟ

หมุนติดขัด = บ่อนทำลาย เกเร ไม่ยอมรับบุคคล ความขัดแย้ง

ฟันบิ่น หัก = ทำงานมากเกินไป สุขภาพไม่ดี ทำงานไม่เต็มที่ อู้งาน

ตัวเล็กเกินไป = ทำงานไม่ตรงที่ศึกษามา คุณภาพไม่ถึงงาน ขาดความรู้ความสามารถ ไม่พัฒนาตนเอง 

สำหรับวันนี้ก็ขอจบเรื่องเฟืองไว้เพียงเท่านี้ดีกว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่าทำตัวเองให้เป็นเฟืองในอุดมคติ (Ideal Gear) หรือหมุนไปรู้จักเหน็ดจากเหนื่อยอย่างเป็นระบบ นั่นล่ะเจ้าของเครื่องจักรเขาชอบ “สวัสดี”

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

Pick-Up Fighting: รถกระบะหลังวิกฤติน้ำท่วม

สวัสดีพี่น้องชาว SME หรือ SMEfriend ทุกๆคน หลังจากหายไปกว่าสองสัปดาห์ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ เพราะช่วงที่ผ่านมางานประจำ (บอกเลยว่างานออกแบบบ้าน) นั้นรัดตัวมากเพราะเหมือนกับว่ากลับไปเริ่มจุดใหม่ เพิ่งจะมีสัปดาห์นี้ล่ะที่มีเวลาว่างมากพอที่จะเขียนได้ ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องที่อยากเขียนนั้นมีมากมายอยู่ในหัวแต่ไม่มีมือจะมาเขียน นี่ถ้าหากว่า Apple พัฒนาโปรแกรม Siri ให้สามารถพิมพ์ตามคำบอกได้จะดีมากเลย เอาล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้มาวิเคราะห์ตลาดรถกระบะหรือชาวบ้านเรียกว่า “รถปิ๊กอัพ” เพราะตอนนี้หลายๆค่ายได้ปล่อยหมัดเด็ดออกมา หลังจากที่ในช่วงภาวะน้ำท่วมที่ผ่านมา รถปิ๊กอัพได้ถือว่าเป็นพาหนะที่น่าจะนำมาใช้สอยได้ในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งเมื่อตอนน้ำท่วมที่ผ่านมา ค่าย Chevrolet ได้ทำการโปรโมต “เชฟวี่ โคโลราโด” ออกผ่านทางสื่อช่อง 7 ในช่วงของการรายงานข่าวภาคสนามทำเอาชื่อของ “โคโลราโด” นั้นติดหูชาวบ้านไปพักใหญ่

ในส่วนของการวิเคราะห์วันนี้ผมไม่ขอลงไปเรื่องของเทคนิคหรือสเปกของรถสักเท่าไหร่ เพราะแต่ละค่ายทั้งโตโยต้า อีซูซุ เชฟโรเลต มิตซูบิชิ นิสสัน มาสด้าและฟอร์ด นั้นก็มีรถกระบะสเปกใกล้เคียงกันอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมจะมาวิเคราะห์ Position หรือตำแหน่งของการตลาดของแต่ละค่ายว่าอยู่ตรงไหน กลุ่มเป้าหมายนั้นคือใคร เอาเป็นว่าผมนั้นไล่กันตามตัวอักษรเลยดีกว่า

เชฟโลเลต “โคโลราโด” เปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ของความแกร่งสมบุกสมบันผ่านภาพของกองเห็นภูเขามหึมา เพื่อตอกย้ำความเป็นกระบะพันธุ์แกร่งอันดับต้นๆของอเมริกา ด้วยแคมเปญ 100 ปีของบริษัทฯ จากนั้นก็ขยับเข้ามาหาคนไทยมากขึ้นด้วยการเปิดตัว “ปอ ทฏษฎี” พระเอกอารมณ์ดีของช่อง 3 ที่ภาพลักษณ์อบอุ่นเอาใจคนต่างจังหวัดและรากหญ้า (ดูจาก theme ของโฆษณาได้) ซึ่งก็ย้ำได้เลยว่าเชฟฯนั้นเอาจริงๆกับการแชร์ส่วนแบ่งมาจากแชมป์อันดับหนึ่งอย่างโตโยต้า วีโก้ได้เลย

ฟอร์ด “เรนเจอร์” ซีรีย์เดิมแต่เปลี่ยนลุคกลับมาพร้อมกับโฆษณาที่บ่งบอกของความสมบุกสมบันทั้งพื้นถนนแบบหินลูกรัง น้ำขังเจิ่งนอง ทะเลทรายมากมาย ขึ้นเขาลงห้วยฟอร์ดไปได้หมด แสดงถึงสมรรถณะรถพันธุ์แกร่งจากอเมริกา โดยไม่ต้องใช้พรีเซนเตอร์เข้ามาช่วย แค่เน้นการแสดงของสปอตโฆษณาหลากหลายโลเกชั่นเพื่อให้ผู้ที่สนใจสัมผัสถึงตัวรถได้ แต่ต้องบอกเลยว่ากลยุทธ์นี้อาจจะเหมาะกับฝั่งตะวันตกเพราะผู้คนเขารับรู้ได้เอง แต่ถ้าใช้โฆษณาแบบนี้ในไทยอาจจะได้ลูกค้ายาก เพราะคนไทยต้องเน้นพูดๆๆๆๆบอกๆๆๆๆ สื่อสารให้เข้าเป้าของกลุ่มเป้าหมาย ถึงจะเข้าไปในสมอง ก็อาจจะเป็นแบรนด์ที่ต้องทำการตลาดแบบหืดขึ้นคอหน่อย

อีซูซุ “ดีแม็กซ์ V-Cross” เปิดตัวด้วยพระเอก 4+1 จากช่อง 3 “บอย ปกรณ์” ที่เน้นภาพลักษณ์ของวัยรุ่นถึงวัยทำงาน โดยในตัวโฆษณานั้นเน้นถึงสมรรถณะรถที่สามารถใช้ได้ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดในพื้นที่ทุรกันดาร โดยต้องการกวาดทุกๆ segment เหมือนเดิม หลังจากรุ่นที่แล้วพลาดท่าพ่ายให้กับวีโก้ในกลุ่มรากหญ้า แต่สำหรับคนเมืองก็ต้องยอมรับว่าอีซูซุเขากินขาดมานานแล้ว ด้วยภาพลักษณ์ที่ “ซื้อง่าย ขายได้ราคาดี” แต่การนำเอา “บอย ปกรณ์” มาเป็นพรีเซนเตอร์กระตุ้น กลุ่มวัยรุ่นนั้นดูแล้วท่าจะต้องลำบากหน่อยเพราะต้องยอมรับว่าค่านิยมของวัยรุ่นและวัยทำงานนั้นเขาจะเน้นรถยนต์เป็นหลัก ก็ต้องถือว่าต้องรอดูบารมีของ “บอย ปกรณ์” ว่าจะดึงดูดโน้มน้าวได้ดีขนาดไหน แต่ส่วนตัวผมว่าพรีเซนเตอร์คนนี้ยังไม่โดนเท่าที่ควร

มาสด้า “บีที 50 โปร” ซีรี่ย์เดิมแต่ all new ทั้งคัน พร้อมกับ theme ของบทบาทคุณพ่อ “ผู้พันเบิร์ด” ที่มาพร้อมสปอตสองตัวโดยตัวแรกเน้นการขับในพื้นที่ทุรกันดาร อีกตัวเป็นการขับขี่ในเมือง แต่แอบมีกลิ่นอายของภาวะน้ำท่วมนิดๆ ซึ่งจากรูปทรงของรถที่ยอมรับว่าฉีกแนวของรถกระบะโดยสิ้นเชิง อาจะเข้าตาของกลุ่มวัยทำงานสังคมเมืองก็เป็นได้ เพราะเฉี่ยวมากๆ ซึ่งตัวมาสด้าเองต้องยอมรับในเรื่องของการดีไซน์ที่ได้ใจมาตั้งแต่มาสด้า 3 มาจนมาสด้า 2 ซึ่งต้องลุ้นว่าการดีไซน์ล้ำจะทำตลาดให้รถกระบะได้เหมือนรถยนต์สองรุ่นที่กล่าวมาได้หรือไม่ แต่ในส่วนตัวของผมนั้นยกให้เลยว่ามีโอกาสเป็นไปได้ทั้งตัวราคาเองก็ตอบโจทย์เหมือนกัน

มิตซูบิชิ “ไตรตัน” เป็นโมเดลเก่าแต่ปรับสภาพใหม่นิดนหน่อย มาพร้อมกับพรีเซนเตอร์ขาร็อกคนเดิม “ตูน บอดี้สแลม” ซึ่งต้องบอกเลยว่ามาเอาใจวัยโจ๋โดยเฉพาะ แต่รู้สึกว่าไม่ช่วยเท่าไหร่ โชคดีที่โมเดลนี้ถูกดีไซน์มาล้ำอยู่แล้ว บวกกับ accessories ภายในรถที่บอกว่าคุ้มกับราคาจริงๆก็คงจะประคองการต่อสู้ในสงครามนี้ไปได้ แต่ส่วนตัวต้องบอกเลยว่าต้องพัฒนาสปอตให้สือถึงรถมากกว่านี้ อย่าไปเน้นเสียงของ “พี่ตูน” มาก แต่ก็ยังแก้เกมโดยเน้นไปทางแคมเปญแจกทองซึ่งแชมป์อย่างวีโก้เคยทำได้ผลมาแล้ว

โตโยต้า “วีโก้” ตอนนี้วีโก้ให้ความสำคัญกับ “สมาร์ท แคป” อย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ส่งพรีเซนเตอร์ระดับโลกอย่าง “คริสเตียโน โรนัลโด้” มาแทนที่ “ป๋อ ณัฐวุฒิและ ตุ๊กกี้” หลังจากหมดแคมเปญ “จิ๊บๆ” วีโก้ก็ใช้โรนัลโด้เปิดตัวความเป็นกระบะระดับโลกเอาใจวัยรุ่นและวัยทำงานอย่างแท้จริง แต่กระนั้นผมว่าก็ไม่สามารถเข้าถึงรากหญ้าซึ่งเป็นกลุ่มหลักได้เท่าที่ควร เพราะรากหญ้าจะมีสักกี่คนที่รู้จักโรนัลโด้ ผมว่าจริงๆแล้ว “ป๋อ+ตุ๊กกี้” ก็ยังหากินกับกลุ่มนี้ได้สบายๆ แต่ก็เข้าใจว่าต้องการสื่อโตโยต้า วีโก้ให้เป็นความอินเตอร์มากขึ้น

ต้องยอมรับว่าตลาดรถกระบะปีนี้เขาฟัดกันนัวดีจริงๆ อาจเป็นเพราะผลพวงจากน้ำท่วมที่ผ่านมาทำให้คนกลับมาสนใจรถยกสูงกันมากขึ้น ก็ต้องดูต่อไปว่าใครจะชนะจะแพ้หรือทรงตัวในสงครามครั้งนี้ เจ้าของแชมป์อย่างวีโก้จะรักษาส่วนแบ่งเดิมได้หรือไม่ หรือว่าดีแม็กซ์จะแรงดีไซน์เอาชนะไปได้ มอเตอร์โชว์ครั้งนี้ถ้ามีการจัดก็คงรู้กัน พบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ....

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

Watching Big Brands: มองแบรนด์ดัง ปรับแบรนด์ตัวเอง

สวัสดีพี่น้องชาว SME หรือ SMEfriend ทุกๆคน หลังจากหายไปกว่าสัปดาห์ วันนี้ก็กลับมาให้หายคิดถึง โดยวันนี้กลับมาเรื่องของการตลาดสักหน่อย เพราะหลายวันที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้นั่งคิดเล่นๆเกี่ยวกับแบรนด์ทั้งไทยและต่างประเทศทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบหลายอย่างที่เกิดขึ้นตามมา วันนี้จะเอามาเล่าให้ฟังหลายๆตัวอย่างเลยล่ะกัน แล้วก็หวังว่าหลายๆคนที่อ่านจะเอาไปปรับตัวเพื่อใช้กับธุรกิจของตนเอง

Apple เริ่มกันด้วยความเปลี่ยนแปลงของบริษัทยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์ หลังจากการจากไปของ CEO “Steve Jobs” หลายๆคนก็นึกว่าถึงคราวที่ยักษ์ใหญ่จะเพลี้ยงพล้ำ เพราะคู่แข่งอย่าง Samsung นั้นได้กระหน่ำออกสินค้ามาก แต่ที่ไหนได้ ภายใต้การนำทัพของ Tim Cooke ซีอีโอคนใหม่นั้นกลับตรงกันข้าม เพราะรายได้จากการขาย iPhone 4S นั้นมีสถิติมากกว่าตอนที่จ๊อบส์อยู่เสียอีก และอีกเร็วๆนี้ก็จะปล่อย iPad3 ออกมาตอกย้ำผู้นำด้านแท็บเลตอีกครั้ง ซึ่งเหตุผลของเรื่องนี้ตอบได้เลยว่าสาวกของแอปเปิ้ลไม่ได้ยึดติดกับบุคคล เพราะเขายึดติดกับผลิตภัณฑ์มากกว่า ลูกค้ายังเชื่อใจในสินค้าของแอปเปิ้ล ส่วนตัวบุคคลก็เป็นอีกเรื่องไป แต่ถ้ามองกลับมาที่บ้านเราอย่าง OISHI ที่เมื่อคุณตันขายหุ้นทั้งหมดและได้ลาออกไปหลังจากอยู่ช่วยมา ก็พบว่าผู้บริหารคนใหม่ยังไม่เข้าใจการตลาดของคุณตันแม้แต่น้อย ทำให้ ICHITAN ก้าวจาก New Comer เข้ามาเป็นคู่แข่งที่สำคัญของสงครามชาเขียวไปได้ ทิ้งห่างยักษ์อีกรายอย่างเพียวริคุไปเลย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “คุณภาพยังไงก็มาก่อน”

Truemove H 3G+ หลายๆคนยังไม่รู้ว่า Truemove นั้นจะหมดสัมปทานมือถือในปี 2555 นี้ ดังนั้นจะต้องมีอีกเครือข่ายมารองรับลูกค้ากว่าสิบล้านเลขหมาย ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายดังกล่าวนั้นจะสร้างความสับสนมึนงงให้กับลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิมมากทั้งการเปลี่ยนเครือข่ายและความมั่นใจเครือข่ายในอนาคต H เลยจัดการออกแคมเปญ 3G ทั่งประเทศมากลบความสับสนที่จะเกิดขึ้น ด้วยการนำเอา 3G มาหลอกล่อให้ลูกค้ายอมลำบากเปลี่ยนจาก Truemove ธรรมดามาเป็น Truemove H 3G+ ซึ่งลูกค้าจะมองข้ามความยุ่งยากไปเนื่องจากได้คุณภาพของเครือข่ายที่ดีขึ้นในด้านการเชื่อมต่อ ซึ่งรวมถึงโปรโมชั่นที่จัดหนักเพื่อดึงดูดลูกค้ารีบเปลี่ยนเครือข่ายก่อนจะถึงสิ้นปี ซึ่งจะเกิดความโกลาหลมากกว่านี้ รวมถึงช่วงเวลาดังกล่าวคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง DTAC เองก็เพลี้ยงพล้ำกับการบริการสุดห่วยด้านอินเตอร์เน็ตและกลยุทธ์ที่ผิดพลาดดันไปลงทุนในด้าน WIFI บนห้างสรรพสินค้า โดยลืมสนใจไปว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของตนนั้นมีทั้งกทม.และต่างจังหวัด ซึ่ง ณ ช่วงนี้เองอาจจะทำให้ Truemove หรือ H 3G+ อาจจะแซงขึ้นมาเป็น Market Share อันดับสองก็ได้ ต้องดูกันยกต่อยกเลยก็ว่าได้
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “กลยุทธ์ผิด คิดจนตัวตาย”

TESCO LOTUS หลังจากเมื่อปีที่แล้วได้เกิดสงครามเส้นเขียวเกิดขึ้นกับสองห้างยักษ์อย่าง Lotus และ BigC จนเหมือนกับว่า BigC จะแพ้ไปเนื่องจากโลตัสได้เปรียบการเข้าถึงมากกว่าในพท.ต่างจังหวัด แต่ BigC เองก็แก้ลำแก้เกมกลับมาด้วยการจัดหนักบอกทั้งประเทศว่า “ของตนเองถูกกว่า” แถมยังบอกว่าสินค้าของคู่แข่งใดใครถูกกว่าจะคืนเงินพร้อมชดเชยให้ด้วย แถมการ Take Over ห้างดังอย่างคาร์ฟู ทำให้ BigC ยังอยู่ใน เกม จนมาถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Lotus ได้ประกาศว่าของตนถูกกว่าที่อื่นกว่าหมื่นรายการ เล่นเอาสงคราวห้าง Convenience Store กลับมาระอุรับหน้าร้อนและเทศกาลสงกรานต์อีกครั้ง ซึ่งเมษายนนี้จะได้เห็นแต่ละค่ายกลับมาจัดหนักอีกแน่นอน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่ายอมแพ้ ทุกปัญหามีทางออก”

รายการชิงร้อยชิงล้าน ช่า ช่า ช่า ระเห็ดระเหินออกจากช่อง 7 หลังจากการปลดฟ้าผ่าคุณแดง ทำให้เฮียประวิทย์ไม่รอช้า หลังจากกุมขมับมานานกับเรทติ้งของ ”ตีสิบ” ที่ตกลงอย่างน่าใจหาย ดันดาราก็ออกทะเลไปเยอะ เรื่องผีก็กู้ชื่อไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่า “เสี่ยตา ปัญญา” เขาเป็นเจ้าพ่อทีวีอยู่แล้วจัดหนักละครสามช่าชิงเรทติ้งไปครองหลายปี สบโอกาสก็ชวนเข้าบ้านพระรามสี่เพื่อจะได้ประกาศ “ข้าครองทีวี” แบบเบ็ดเสร็จ หลังจากย้ายมาปุ๊บ เสี่ยตาก็จัดหนักปั๊บโดยการเพิ่มสเกลของละครสามช่าเข้าไปให้นานและยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ชมในกลุ่มที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งหลายคนคาดการณ์ว่าไม่น่าจะไปรอดเพราะรายการนี้ไม่คุ้นเคนยกับช่วงเวลาประมาณบ่ายสามโมงวันอาทิตย์ ที่ไหนได้กลับได้ขยายกลุ่มคนดูได้เพิ่มอีกต่างหากทำให้บ่ายสามเป็นช่วงเวลา “ช่า ช่า ช่า” อย่างแท้จริง ซึ่งเรียกได้ว่าครองช่วงเวลาเจ้าเดียวในประเทศเลยก็ว่าได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ปรับปรุงตัวเองเข้าสถานการณ์เสมอ”

สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกัน หวังว่าคงได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยนะครับ