วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Math in Business: คณิตคิดในใจกับถั่วงอก

วันนี้จะเป็นบทความที่อาจจะต้องใช้จินตนาการสักหน่อยในการอ่านตาม แต่เชื่อผมเถอะว่าถ้าทุกคนที่ได้อ่านแล้วคิดภาพตามแล้วก็จะรู้ว่า "เราควรจะค้าขายดีไหม?"


วันนี้ผมขอเสนอการคิดเลขง่ายๆที่ไม่ซับซ้อนเพื่อให้ทุกๆคนไปคิดต่อเองสำหรับธุรกิจเพื่อจะได้ทราบว่า สิ่งที่เราลงทุนไปนั้น มันจะได้กลับมาเท่าไหร่และมีจุดไหนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งผมขออธิบายโดยใช้ถั่วงอก สิ่งเป็นสิ่งเล็กๆที่อาจอ่านไปจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างได้ ผมขอเรียกว่า "หลักการถั่วงอก" แล้วกัน


เรารู้ดีว่าถั่วงอกนั้นเติบโตมาจากถั่วเขียวเม็ดเล็กๆ อาศัยความชื้นและอุณหภูมิพอเหมาะมันก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ เราใช้ถั่วงอกในการบริโภคเป็นหลัก คิดง่ายๆคือเอาไว้ใส่ก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะหมู เนื้อ เป็ด และไก่ จำเป็นต้องมีถั่วงอกในจานทั้งนั้น รวมไปถึงการใส่ในผัดไทยและก๋วยจั๊บหรือแม้แต่ผัดถั่วงอกกินกับข้าวต้ม แค่นี้เราก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่า ถ้าเราเป็นพ่อค้าถั่วงอกในจังหวัด เราจะมีรายได้ต่อวัน ต่อเดือนและต่อปีเท่าไหร่ คุ้มค่ากับการปลูกหนือไม่


ผมขอสมมติเลยนะว่า
ข้อหนึ่ง จังหวัดๆหนึ่งมีอำเภอ 10 อำเภอ


ข้อสอง แต่ละอำเภอมีร้านก๋วยเตี๋ยว 100 ร้าน (สมมติให้น้อยที่สุด)
สรุปคือหนึ่งจังหวัดมีร้านก๋วยเตี๋ยว 10x100 = 1,000 ร้าน


ข้อสาม แต่ละอำเภอมีร้านผัดไทย+ก๋วยจั๊บ+ข้าวต้ม 50 ร้าน
สรุปคือหนึ่งจังหวัดมีร้านผัดไทย+ก๋วยจั๊บ+ข้าวต้ม 10x50 = 500 ร้าน


ข้อสี่ ร้านก๋วยเตี๋ยวหนึ่งร้านใช้ถั่วงอก 20 กก.ในหนึ่งวัน
สรุปร้านก๋วยเตี๋ยวทั้งจังหวัดใช้ถั่วงอก 20x1,000 = 20,000 กก.


ข้อห้า ร้านผัดไทย+ก๋วยจั๊บ+ข้าวต้ม หนึ่งร้านใช้ถั่วงอก 10 กก.ในหนึ่งวัน
สรุปร้านก๋วยเตี๋ยวทั้งจังหวัดใช้ถั่วงอก 10x500 = 5,000 กก.


สรุปหนึ่งจังหวัดใช้ถั่วงอกในการบริโภค 20,000+5,000 = 25,000 กก.ในหนึ่งวัน
ถ้าราคาขายถั่วงอก (จากตลาดไทย) เฉลี่ยกก.ละ 15 บาท หรือคิดว่าราคาหน้าสวน 12 บาท


หรือคิดเป็นเงิน 25,000x12 = 300,000 บาทต่อวัน
สมมติเรามีส่วนแบ่งการตลาด 10% หรือคิดเป็นเงิน 30,000 บาท <<< รายได้ต่อวันของถั่วงอกของเรา
ถ้าต้นทุนปลูกถั่วงอกคิดเป็น 60% ดังนั้นเหลือกำไร 40% หรือคิดเป็น 12,000 บาท


กำไรจากการปลูกถั่วงอก 12,000 บาทต่อวัน
หรือ 12,000x30 = 360,000 ต่อเดือน
หรือ 360,000x12 = 4,320,000 บาทต่อปี (อู้หู!!!)


เห็นไหมครับ นี่คือการคิดคร่าวๆของการปลูกแค่ถั่วงอก พืชเล็กๆแต่กำไรมหาศาล


ลองใช้วิธีคิดง่ายๆแบบนี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจทำธุรกิจ


วันนี้คณิตคิดในใจพอแค่นี้ก่อน เจอกันครั้งหน้าครับ

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Tablet กระดานชนวนเพิ่มพลังธุรกิจ

Tablet กระดานชนวนเพิ่มพลังธุรกิจ


ตอนนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ซึ่งต้นปีหน้ารัฐบาลก็จะนำร่องใช้ Tablet ในการศึกษาเป็นครั้งแรกในไทยอย่างเป็นทางการ (ไม่รวมในมหาวิทยาลัยเอกชน) ซึ่งเร็วๆนี้ก็มีการเรียกพบตัวแทนของ Apple เข้าหารือ โดยมีทั้งเสียงชื่นชมและวิจารณ์ตามมา ซึ่งในทางการเมืองจะว่าเป็นกระแสประชานิยมหรือไม่อย่างไร ผมคงไม่อาจไม่วิเคราะห์ได้เพราะนั่นคือเรื่องของนักการเมือง แต่ผมยินดีในฐานะคนที่จะได้เห็นลูกหลานได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการเล่าเรียนบ้าง ถึงมันอาจจะมีผลในทางลบตามมาบ้าง แต่ในทางบวกผมว่ามีมากแน่นอน อย่างง่ายๆลูกหลานเราไม่ต้องแบกหนังสือให้หลังค่อมอีกต่อไป เพราะเราสามารถอัดเนื้อหาลง Tablet ได้อย่างมากมาย อย่างต่ำก็ 16GB ซึ่งได้ไฟล์ pdf เกี่ยวกับเนื้อหาการสอนเป็นล้านๆหน้าแน่นอน พอดีได้เข้าไปดูใน Youtube เลยเอาผล Feedback ของการใช้ Tablet มาให้ดูนิดหน่อย




นั่นก็เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของการเริ่มประยุกต์ใช้ Tablet ในการศึกษาไทย (ขอขอบคุณโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนจริงๆที่ริเริ่มอะไรดีๆเพื่อเด็กไทย) ข้อดีต่อมาหากเป็นมุมมองทางธุรกิจก็คือ ธุรกิจที่อยู่ใน Cluster หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างง่ายๆ หากโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ถูกเป็นโรงเรียนนำร่องล่ะก็ ผมเองก็จะรีบไปหาซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Tablet ต่างๆมาขายหน้าโรงเรียนแน่นอน เช่น แผ่นปิดหน้าจอ (Cover) ชุดหูฟัง (Headphone) ฯลฯ นี่ก็เป็นผลกระทบในด้านดีๆ ซึ่งเมื่อถูกนำมาใช้จริง รับรองผมจะรีบเขียนช่องทางการทำมาหากินกับ Tablet แน่นอน


กลับเข้ามาเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า ช่วงนี้หน้าหนาวแล้ว อะไรๆก็เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งไม่นานการท่องเที่ยวก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง วันนี้หลังจากอ่านข่างเรื่อง Tablet ของรัฐบาลก็เลยคิดว่าจะเขียนเรื่องการนำมาประยุกต์ใช้บ้างในภาคธุรกิจ ซึ่งจริงๆแล้วหลายๆองค์กรในไทยและทั่วโลกก็เริ่มนำเอา Tablet มาใช้ในการทำงานมานานหลายๆปีแล้ว โดยช่วงแรกนั้น Tablet จะถูกนิยมในการนับสต๊อกสินค้า เพราะสามารถออนไลน์ข้อมูลได้ทันทีไม่ต้องมาเสียเวลาในการนับแล้วจดลงกระดาษ แต่ว่าในสมัยก่อนนั้น Tablet นั้นมีราคาสูงพอๆกับ Notebook ต้องเป็นองค์กรใหญ่เท่านั้นถึงทำระบบแบบนี้ได้ แต่ปัจจุบัน Tablet ราคาถูกมากๆตั้งแต่ 8,000-25,000 บาท ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อในขณะนี้ 
แต่ในปัจจุบันหลายองค์กรได้นำเอา Tablet มาใช้ในการทำงานหลากหลายมากขึ้นทั้งการประชุม การแชร์ข้อมูลภายในองค์กร การนำเสนอผลงาน การนำเสนองานแก่ลูกค้า ซึ่งข้อดีของ Tablet ก็คือ


สามารถใช้งานได้ทุกที่ขอแค่มีสัญญาณมือถือหรือสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายก็พอ ซึ่งทุกวันนี้เดินไปไหนก็มีสัญญาณให้ใช้มากมาย ทำให้ในตอนนี้เราไม่ต้องนัดประชุมที่ห้องประชุมก็ได้ เราสามารถประชุมผ่าน Tablet หลายๆคนพร้อมกันก็ได้ หรือนัดประชุมลูกค้าตามสถานที่ต่างๆได้ทุกเมื่อรวมไปถึงรับ-ส่งอีเมลได้แบบทันเวลา (Real Time) ทำให้การสื่อสารภายในองค์กรนั้นง่ายขึ้น ยิ่งหากเป็นองค์กรใหญ่ๆที่สามารถจ้างนักพัฒนาทำโปรแกรมสำหรับใช้งานภายใน เช่น การตรวจสอบสต๊อกสินค้า การแชร์ไฟล์ไว้ที่ส่วนกลาง รวมไปถึงการทำ KM หรือ การจัดการองค์ความรู้ในองค์กร (Knowledge Management) เพราะเราสามารถสร้างสรรความรู้และจัดเก็บไว้่ในส่วนกลางและแชร์ให้ผู้อื่นๆในองค์กรได้รับรู้ได้


ผู้ประกอบการขนาดเล็กไม่ต้องตกใจว่าธุรกิจตนขนาดเล็กนิดเดียวจะคุ้มหรือไม่ ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ว่าข้อดีของ Tablet สำหรับเจ้าของธุรกิจนั้นมีอะไรบ้าง
1. เจ้าของธุรกิจสามารถทำงานนอกสถานที่ทำงานได้ เพราะสามารถรับ-ส่งอีเมลได้ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการคิดหรือติดต่อเพื่อเพิ่มช่องทางธุรกิจได้ง่ายขึ้น
2. การนำเสนอผลงานผ่าน Tablet ซึ่งผู้ประกอบการขนาดเล็กจะไม่ต้องแบกโน๊ตบุ๊คเครื่องโตพร้อมเครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ไปไหนมาไหนแล้ว ขอแค่มีตัว Tablet และสาย HDMI ก็พอ ก็สามารถพรีเซนต์งานผ่านโทรทัศน์ได้แล้ว




3. การใช้ระบบช่วยเตือนความจำ โดยเปรียบเสมือนเลขาส่วนตัว ซึ่งอาจจะไม่ต้องมีเลขาที่เป็นคนจริงๆก็ได้ อย่างโปรแกรม SIRI ของค่าย Apple นั้นก็กำลังเป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน สามารถบันทึก โต้ตอบข้อความอีเมล สอบถามสภาพอากาศ การจราจร ฯลฯ




วันนี้ก็นำเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Tablet ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ซึ่งยังไงก็แล้วแต่ต้องยอมรับว่าวันนี้เราปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ได้แล้ว

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Renovation & Innovation ต่อจากครั้งที่แล้ว

เมื่อครั้งก่อนกล่าวถึงการทำ Renovation หรือการปรับปรุงรีสอร์ทให้กลับมาติดลมบนอีกครั้ง เหมือนกับอดีตที่ผ่านมาหรือจะเรียกว่าปลุกผีขึ้นมาอีกครั้ง อย่าที่เขียนไปว่าการปรับปรุงนั้นมีทั้งแบบรูปธรรมและนามธรรม แต่วันนี้มาพูดถึง Innovation จะขอกล่าวแบบรูปธรรมอย่างเดียวเลยล่ะกัน


การสร้างนวัตกรรมหรือ Innovation ให้กับรีสอร์ทนั้นขอให้ยึดหลักไว้ 2 อย่างก็คือ
1. ต้นทุนเพิ่มไม่มากจนเกินไป (Low Cost)
2. สร้างความแตกต่าง (Differentiation) ให้กับรีสอร์ท


นวัตกรรมด้านการติดต่อ
การปรับตัวโดยนำนวัตกรรมด้านการติดต่อสื่อสารนั้นสามารถทำได้หลายๆวิธีและต้องอำนวนความสะดวกให้แก่ลูกค้ามากขึ้น เช่น


การเปิดเว็บไซต์
การเปิดเว็บไซต์นั้นถือเป็นเรื่องง่ายและตรงและกว้างมากที่่สุด เพราะการคนทั้งโลกได้รู้จักกับรีสอร์ทโดยที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดและประชาสัมพันธ์มากที่สุด ต้นทุนต่อปีแค่หมื่นต้นๆหรือเฉลี่ยวันละ 50 บาทก็สามารถโปรโมทรีสอร์ทเราให้กับลูกค้าเก่าและใหม่ได้แล้ว
ตัวอย่างเว็บไซต์รีสอร์ทแบบง่ายๆ (คลิกเลย) ขอขอบคุณ http://www.khaokhoresort.com/


การจองห้องพักแบบออนไลน์
ด้วยอุปนิสัยของผู้บริโภคผ่านอินเตอร์เน็ตที่ไม่นิยมติดต่อโดยตรงกับเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริการ การตรวจสอบและติดต่อจองห้องพักทางออนไลน์หรือทางอีเมลนั้นถือว่าเป็๋นช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมมากที่สุด โดยถ้าไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายมากก็จะเป็นการติดต่อโดยใช้อีเมลโดยตรงถึงเจ้าของธุรกิจแล้วรอการตอบกลับ แต่ถ้าอยากทำระบบตอบรับการจองอัตโนมัติก็อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีการจองแบบออนไลน์ (คลิกเลย) ขอขอบคุณ http://www.suanbankrut.com/rate__reservation.html


นวัตกรรมภายในรีสอร์ท
หลายๆรีสอร์ทได้นำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ภายในหลากหลายรูปแบบ อย่างที่เห็นได้ง่ายคือการใช้คีย์การ์ดในการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องพัก โดยครั้งนี้ผมเลยขอแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆมาเสอนแล้วกัน


เปิด-ปิดไฟฟ้ารอบๆพื้นที่
ในปัจจุบันการหลายๆรีสอร์ทหรือโรงแรมใหญ่ได้นำเอานวัตกรรมโซลาร์ เซลล์หรือพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในระบบไฟฟ้ารอบๆรีสอร์ท เช่น สวน หรือรอบๆสระว่ายน้ำ เพราะช่วยให้เจ้าของธุรกิจประหยัดค่าไฟภายในได้ ถึงไม่มากแต่ก็อย่างน้อยต้นทุนรีสอร์ทก็ลดลงเอาเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นได้ แถมภาพลักษณ์ความทันสมัยของรีสอร์ทก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย
แผงโซลาร์บนหลังคา
ตอนนี้กำลังอินเทรนด์สุดๆสำหรับแผงโซลาร์ เซลล์ ที่มีทั้งแบบแผงใหญ่กับแผ่นบางๆวางตามลอนกระเบื้องหลังคา สามารถทำให่รีสอร์ทประหยัดไฟฟ้าได้ เพราะตอนกลางวันเองมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยและเราสามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ใช้ในตอนเย็นได้ โดยในตอนต้นนั้นอาจมีต้นทุนสูงบ้างแต่หากว่ามองในระยะยาวก็ถือว่าคุ้ม เพราะขนาดปั๊มน้ำมันของปตท.หรือบางจากยังเอามาติดตั้งด้านบนของหลังคาปั๊มเลย




นี่ก็เป็นนวัตกรรมง่ายๆที่ผู้ประกอบการสามารถทำเองได้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Innovation & Renovation: ปลุกรีสอร์ทร้างให้กลับมาป๊อบอีกครั้ง

บทความนี้ขอเกาะแสต้นเทศกาลท่องเที่ยวฤดูหนาวท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วม อาจจะมาช้าไปบ้างแต่คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจรีสอร์ทขนาดเล็กสำหรับนำมาปรับปรุงในปีหน้าก็ได้ ผมเองเป็นอีกคนที่ท่องเที่ยวมากหลายๆครั้งได้ขับรถผ่านหรือได้เข้าพักรีสอร์ทต่างๆในหลายๆที่ หรือบางครั้งลองเสริ์ชทางอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลเพื่อจัดทริปท่องเที่ยว ซึ่งหลายๆครั้งจะเจอเหตุการณ์ว่าภาพที่เห็นกับของจริงแตกต่างกันมาก จนมีคำถามในใจว่า "ร้างหรือเปล่า" "เก่าอย่างนี้ใครจะพัก" ซึ่งนับเป็นปัญหาอย่างมากกับลูกค้าในการตัดสินใจเลือก เพราะสมัยนี้ต้องจ่ายเงินสดก่อนแล้วค่อยเห็นที่พักจริงๆ บางครั้งจะกลายเป็นรีสอร์ทร้างไป ซึ่งวันนี้ผมขอแนะนำผู้ประกอบการรีสอร์ทขนาดเล็กในการปลุกรีสอร์ทของท่านที่เคยรุ่งเรืองให้กลับมามีคนเข้าพักเหมือนเดิมอีกครั้ง

โดยกลยุทธ์ที่ผมจะนำเสนอนั้นมี 2 ขั้นตอนคือ
1. การปรับปรุง (Renovation)
2. การสร้างนวัตกรรม (Innovation)

ซึ่งผมจะขอขั้นตอนแรกคือการปรับปรุงหรือภาษาผรั่งเขาเรียกว่า Renovation

Renovation
การปรับปรุงในรีสอร์ทดีขั้นนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องเป็นการปฏิวัติ (Evolution) ของรีสอร์ทเลยทีเดียว โดยการปรับปรุงของรีสอร์ทนั้นสามารถแยกย่อยออกมาเป็น

1) การปรับปรุงด้านนามธรรม
การปรับปรุงในด้านนามธรรมนั้นจะประกอบไปด้วย ภาพลักษณ์ การบริการและความจงรักภักดีของลูกค้า

ด้านภาพลักษณ์
การปรับปรุงด้านภาพลักษณ์นั้นคือการกู้ชื่อเสียงของธุรกิจกลับคืนมาให้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม โดยเราต้องหาจุดบกพร่องของภาพลักษณ์รีสอร์ท โดยอาจค้นหาจากอินเตอร์เน็ต แล้วลองอ่านคอมเมนต์ที่ลูกค้าหรือผู้ที่เคยเข้ามาพักได้เขียนไว้ว่าเขาได้ตำหนิเราด้านไหนบ้าง หรือคิดง่ายๆว่าถ้าเอ่ยถึงชื่อรีสอร์ทเราแล้วลูกค้ายี้เราในด้านไหน ซึ่งก็ต้องเอาปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่สามารถทำได้หลายวิธี เช่น โปรโมตรีสอร์ทผ่านข่องทางต่างๆให้กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งด้วยสื่อหลากหลายประเภท การใช้การบอกต่อของลูกค้า รวมถึง Re-Branding เป็นวิธีสุดท้ายหากว่าภาพลักษณ์ไม่สามารถกู้คืนได้คือการเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้ลูกค้าจดจำเราจากเรื่องในอดีต
ด้านบริการ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและละเอียดอ่อนมากสำหรับธุรกิจบริการ มันคือหัวใจอย่างแท้จริง โดยในเรื่องบริการนั้นมีองค์ประกอบทั้งด้านคน รูปแบบบริการรวมถึงเทคโนโลยีที่นำมาใช้ว่าทำให้ลูกค้าพึงพอใจหรือไม่ เรื่องนี้หลายๆรีสอร์ทนั้นโดนโจมตีอย่างหนักเพราะสมัยนี้มีสื่ออินเตอร์เน็ตที่แพร่กระจายเร็วมาก การบริการนั้นละเอียดอ่อน เพราะอาจถูกใจอีกคนแต่อาจไม่ประทับใจอีกคนก็ได้ ซึ่งกลยุทธ์การปรับปรุงบริการนั้นมีหลายวิธีเช่นกัน เช่น นำบุคลากรในรีสอร์ทมาเข้าอบรมด้านบริการเพื่อให้มีจิตใจด้านบริการมากขึ้น (Service Mind) หรือการปรับปรุงรูปแบบการให้บริการที่ตอบสนองลูกค้าได้ดีขึ้น ลดขั้นตอนลงและโดนใจลูกค้าให้มากขึ้น
ความจงรักภักดีของลูกค้า
ข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอีกข้อหนึ่งของธุรกิจบริการ คือทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความประทับใจแล้วกลับมาหรือบอกต่อให้ผู้อื่นมาใช้บริการของเรา ซึ่งในตามหลักความเป็นจริงแล้วนักท่องเที่ยวมักไม่กลับมาพักที่เดิมเพราะอุปนิสัยนั้นต้องการหาที่พักใหม่ๆ แต่เราก็ต้องให้พวกเขาเหล่านั้นจดจำชื่อและภาพที่ดีของรีสอร์ทเพื่อนำไปบอกต่อ กลยุทธ์ที่สำคัญคือ การสร้างเครือข่าย (Network) ของลูกค้า โดยมีระบบการติดตามผลหรือ Feedback ของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ายังจดจำชื่อรีสอร์ทได้ตลอดเวลา โดยในปัจจุบันนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์ทั้งทาง Facebook และ Twitter มาใช้ในการสร้างเครือข่าย

2) การปรับปรุงด้านรูปธรรม
การปรับปรุงในด้านรูปธรรมนั้นสามารถทำได้ง่ายกว่าด้านนามธรรมเพราะเห็นผลได้ชัดแต่ใช้ต้นทุนสูงกว่า โดยการปรับปรุงที่สามารถจับต้องได้ของรีอสร์ทนั้นก็มีเรื่องที่สำคัญคืออย่างเดียวคือเรื่องห้องพัก การปรับปรุงห้องพักนั้นใช้หลักง่ายๆของมนุษย์มาใช้ก็ได้ เพราะเรารู้ว่ามนุษย์นั้นต้องกิน ต้องขับถ่าย ต้องนอน และปลอดภัย ซึ่งเอาหลักสี่ข้อนี้มาปรับปรุง ส่วนเรื่องของแฟชั่นนั้นเป็นการออกแบบซึ่งแล้วแต่สถานที่ว่าต้องการออกแบบเป็นแนวไหน
การกิน สถานที่พักนั้นตอบสนองการกินของลูกค้าได้มากน้อยเพียงไร ซึ่งบางครั้งรีสอร์ทหลายๆที่นั้นไม่เน้นเรื่องอาหารภายใน ทำให้บางครั้งลูกค้าต้องออกไปข้างนอก ทำให้เกิดความยุ่งยากตามมา ซึ่งผู้ประกอบการเองอาจจะต้องหันมาเน้นทางนี้มากขึ้น รวมถึงมีมินิมาร์ทเล็กๆข้างในเพื่ออำนวยความสะดวกในสิ่งของใช้สอยเล็กๆน้อยๆ
การขับถ่าย เรื่องห้องน้ำนั้นเป็นเรื่องสำคัญต่อมา เพราะหลายๆที่มีห้องน้ำที่ไม่สะดวกทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่อบอุ่นเหมือนบ้าน ซึ่งการเพิ่มเติมตู้อาบน้ำหรืออ่างอาบน้ำอาจเป็นทางเลือกที่ดี
การนอน การนอนนั้นสำคัญพอๆกับการขับถ่าย เพราะเป็นเป้าหมายของการเข้ามาพักผ่อน รีสอร์ททุกที่มาเสียในเรื่องนี้ เพราะจริงๆแล้วลูกค้าจะติดใจในรีสอร์ทของเราหรือไม่นั้นคือเพวกเขาต้องรู้สึกว่าเหมือนบ้านตัวเอง ซึ่งการปรับปรุงเรื่องเตียง สิ่งอำนาวยความสะดวกอื่นๆ เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้านั้นจะต้องมีการจัดวางให้ความรู้สึกเหมือนห้องนอนจริงๆ
ความปลอดภัย เรื่องสุดท้ายของการเข้าพักในรีสอร์ทคือความปลอดภัยทั้งชีวติและทรัพย์สิน รีอสร์ทจะต้องตอบโจทย์และให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะมันคือความไว้ใจ ถ้าทรัพย์สินหายรีอสร์ทจะมีมาตรการอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ที่จอดรถเหมาะสมและเพียงพอหรือไม่ รปภ.ภายในเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี

วันนี้เอาแค่เรื่องการปรับปรุงรีสอร์ท หรือ Renovation พรุ่งนี้มาต่อในหัวข้อต่อไป

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Social Media: เลือกอย่างไรให้เกิดผลสูงสุด

วันนี้มาต่อจากบทความที่แล้วเกี่ยวกับการเลือกใช้ Social Media หรือสื่อในโลกสังคมออนไลน์ ซึ่งครั้งที่แล้วได้เขียนพวกถึงสื่อในพวกสังคมออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ทั้ง Facebook Twitter Blogger ฯลฯ แต่วันนี้จะขอเขียนถึงสื่ออีกรูปแบบซึ่งอยู่บนมือถือโดยเฉพาะสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone อย่าเพิ่งตกใจนะครับว่า "โอย ผมไม่มีเงินซื้อมือถือแพง" "โอย ใช้ไม่เป็น" อีกเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องกังวลนะครับ เดี๋ยวนี้มือถือราคาถูกลงมาแล้วก็สามารถซื้อหามาใช้ได้ บางเครื่องราคาแค่ 6,000-7,000 บาท ซึ่งถ้าผมซื้อมาใช้งานและทำการตลาดบน App หรือโปรแกรมด้วยรบรองว่าคุ้ม เรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า


แชร์รูปภาพ
ในส่วนของ App ที่สามารถแสดงรูปภาพผ่านเครือข่ายนั้นมีมากมาย เช่น ใน iPad หรือ iPhone จะมี App ชื่อ Instagram ซึ่งสามารถถ่ายรูปหรือใช้รูปที่มีอยู่ปรับแต่งภาพให้สวยงามก่อนอัพโหลดลงเพื่อนำเสนอแก่ผู้ที่ติดตามได้ หรือในระบบ Android นั้นจะมีโปรแกรม Color ที่มีการใช้งานคล้ายกับ Instagram แต่สามารถปรับแต่ตัดต่อได้ ซึ่งข้อดีคือใช้ฟรี ทั่วโลกสามารถติดตามเราได้แค่มี username และทันท่วงทีเหมาะกับธุรกิจที่มี dynamic ตลอดเวลา (ถ่ายปุ๊บ แชร์ปั๊บ)




แบ่งปันข่าวสาร
นอกเหนือจากการเปิดเผยข่าวสารทั้ง Facebook หรือ Twitter ยังมีช่องทางสื่อสารผ่านโปรแกรม Conversation หรือเรียกง่ายๆว่า "แชท" ซึ่งมีหลากหลายโปรแกรมให้เลือกใช้ เช่น Whatsapp มีให้ใช้ทั้งใน iOS หรือ Android หรือโปรแกรมใหม่จากฝั่งญี่ป่น "Line" ที่สามารถสร้างกลุ่มของเราเองได้ ทำให้เราสามารถส่งข้อความ รูปภาพหรือแม้แต่ข้อความเสียงให้กับกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง


วันนี้เอาพอหอมปากหอมคอก่อน ครั้งหน้าเจอกับบทความดีๆใหม่นะครับ

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Social Media: เลือกอย่างไรให้เกิดผลสูงสุด

มาต่อกับเรื่อง Social Media ที่เคยเขียนไปแล้วก่อหน้านี้ อย่างที่บอกว่าสื่อที่เราจะนำเสนอนั้นไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว แต่ต้องมีเครือข่าย (Network) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้สื่อของเราแพร่กระจายออกไปได้ไกล ซึ่งเหมือนการแตกตัวของไวรัสที่จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 ....


ซึ่งการที่จะทำให้เครือข่ายเราแข็งแกร่งนั้นช่องทางของสื่อถือเป็นสิ่งที่สำคัญ อธิบายง่ายๆว่าบางครั้งสื่อทางเฟซบุ๊คอาจจะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดกับบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจอาหารเสริมสำหรับคนสูงอายุ ซึ่งเกือบ 100% ของผู้สูงอายุในไทยไม่ได้ใช้เฟซบุ๊คอย่างแน่นอน ดังนั้นสื่อแบบนี้อาจจะไม่ได้ผลมากที่ควร ว่าแต่เราจะเลือกช่องทางของสื่อแบบไหนดี




จากรูปด้านบนเป็นภาพแสดงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ social media อย่างเช่น ในการแบ่งปันข้อมูล (Sharing) การโพสต์ข้อมูล (Feed) เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง (Content) ฯลฯ ลองไปศึกษาตามรูปได้เลย


มาต่อกันเรื่องของช่องทางของสื่อสังคมออนไลน์กันอีก ปัญหาเดียวคือการเลือกช่องทางให้ถูกให้เหมาะสม วันนี้ลองมาดูกันเป็นแนวทางกันดีกว่า


สื่อสิ่งพิมพ์หรือบทความที่เป็นตัวอักษร
ช่องทางที่นิยมของสื่อประเภทนี้ก็ต้องเป็น Blogger (Google เป็นเจ้าของ) หรือ Wordpress ซึ่งเราสามารถสร้างคอลัมน์หนังสือหรือบทความเราได้เองและสามารถโพสต์ได้ตลอดเวลา และมีวิธีการที่ง่ายๆมากเหมือนกับการพิมพ์ลงบน MS Word ซึ่งสามารถทำเองได้ โดยอาจขอยืมพื้นที่แต่สมัคร Domain Name ของเราใช้ได้ ซึ่งถือว่าในเรื่องของการเขียนบล็อกนั้นก็ได้รับความนิยมมานานแล้ว ที่สำคัญคือฟรี


สื่อรูปภาพ/ วิดีโอ/ สไลด์
ที่ได้รับความนิยมก็คงไม่พ้นพวก Youtube สำหรับสื่อวิดีโอ ซึ่ง Google เป็นเจ้าของทำให้ง่ายต่อการค้นหาจากลูกค้า ถ้าอยากแชร์ไฟล์พวกรูปภาพนั้นก็ต้องพวก Flickr หรือ Picasa Web Album ซึ่งมีพื้นที่ให้เราไม่จำกัด และสามารถแชร์ภาพให้คนทั่วโลกดูได้และสามารถทำงานบนเครือข่ายสังคมออนไลน์เช่น Facebook หรือ Twitter ได้ ส่วนถ้าเป็นพวกข้อมูลไฟล์นำเสนองานก็ต้องนี่เลย "Slideshare" โดยทุกอย่างสมัครฟรี


การสนทนา/ ถกปัญหาออนไลน์
ในบางธุรกิจที่ต้องมีการคุยกันเรื่องเทคนิคเฉพาะอาจจะต้องมีช่องทางไว้คุยออนไลน์ 24 ชม. อาจจะต้องลองใช้พวก MSN messenger, Skype หรือตอนนี้ผมเองก็ลองใช้ Chatroll เป็นออนไลน์แชทเว็บได้


พูดคุยสังคมออนไลน์ 24 ชม.
ไม่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้เกือบธุรกิจในโลกต้องมีหน้า Fan Page ของเฟซบุ๊คไว้ลองรับลูกค้าของตนในการนำเสนอข่าวคราว ซึ่งสามารถติดต่อพูดคุยได้ตลอดและเป็นสิ่งที่เรียกว่าฮิตมากที่สุดในพ.ศ.นี้ ข้อดีของเฟซบุ๊คคือมี App มากมายในตัวเองในการเชื่อมโยงสื่อในช่องทางต่างๆได้ เช่น Slideshare, Picasa Twitter ฯลฯ


บันทึกสั้น (Microblog)
อันนี้ก็ต้องเป็น Twitter เยที่ได้รับความสนใจสูงสุด ทวิตเตอร์จะลูกเล่นน้อยกว่าเฟซบุ๊คแต่เน้นการสื่อสารโดยตรง สั้นๆแต่ได้ใจความ และไม่ยุ่งยากเหมือนเฟซบุ๊ค หลายๆคนดังในแวดวังธุรกิจและดารานิยมใช้ในการบอกข่าวสารของตนเอง ซึ่งใช้งานได้ง่ายสะดวกมาก


วันนี้พอแค่นี้ก่อน แต่พรุ่งนี้จะกลับมาพูดอีก 4-5 ข้อที่เหลือ แล้วเจอกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Social Media: ใช้สื่อสารให้ธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

นานๆจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับไอทีผสมกับการตลาด พอดีช่วงนี้เรื่อง Social Network มาแรงเลยคิดจะเขียนเรื่องนี้เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่เริ่มทำการตลาดบนโลกออนไลน์


มารู้จัก Social Media
Social Media หรือสื่อการตลาดบนสังคมออนไลน์นั้นมีที่มรที่ไปจากการที่ตอนนี้สังคมออนไลน์ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันมากขึ้น ดังนั้นการสร้างเครือข่ายและนำเสนอผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปด้วยนั้นก็จะเป็นผลดีต่อการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship) และโฆษณาไปในตัว


สื่อบนสังคมออนไลน์มีอะไรบ้าง
จากแต่ก่อนประมาณสัก 5 ปีที่แล้ว หลายๆคนเริ่มใช้ MSN space และ Myspace ใช้ในการเขียนบันทึกและเผยแพร่ให้กับคนที่รู้จัก จนมา 2-3 ปีให้หลัง Facebook และ Twitter เริ่มเข้ามาในประเทศไทยรวมถึงทั่วโลกจนปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่นิยมในคนหลายๆวัยไปแล้ว ปัจจุบันนั้นมีสื่อออนไลน์หลายประเภท เช่น


1. สื่อบนสังคมออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Twitter ซึ่งเราสามารถโพสต์โฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้ลูกค้าหรือเครือข่ายให้กับผู้ติดตามได้รับรู้ข่าวสาร ซึ่งข้อดีคือ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง (เพราะคนที่เข้ามาติดตาม (Follower) หรือคนที่เข้ามากด Like ใน Facebook นั้นส่วนใหญ่คือสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการจริงๆ)


2. สื่อบนอีเมล อันนี้หลายๆคนคงเคยเห็นมานานแล้ว เพราะเป็นสื่อแรกๆที่เริ่มเข้ามา ซึ่งหลายๆธุรกิจท้องถิ่นได้ใช้สื่อบน Forward Mail ทำตลาดได้ผลมาแล้ว เช่น ร้านอาหาร รีสอร์ท


3. สื่อบนสังคมออนไลน์มือถือ (Mobile Application Media) อันนี้จะเฉพาะกับผู้ใช้มือถือ เช่น iPhone จะมี App. ชื่อว่า Instagram ที่เน้นการโพสรูปแชร์ให้ผู้ที่ติดตามได้รับทราบว่าเราไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร


4. สื่อผ่านบล็อก เรื่องของบล็อกนี่มีมานานพอสมควร หลายคนคงได้ยินชื่อของ Blogger, OKNation Blog ฯลฯ ซึ่งบล็อกนั้นได้พัฒนามาจาก Myspace นั่นล่ะ เพราะเป็นการพัฒนาจากการนำเสนอเฉพาะคนที่รู้่จักไปเป็นการนำเสนอให้คนทั่วโลก เพราะใครก็เข้ามาใช้งานได้


5. สื่อบนแชท เรื่องนี้ถือว่าใหม่พอสมควร เนื่องจากตอนนี้ได้เริ่มมี Application ที่เป็นการแชทระหว่างกลุ่มมากขึ้น เช่น Whatsapp, Line หรือพวก BBMessenger ที่สามราถนำเสนอได้ผ่านกลุ่มเพื่อน ซึ่งก็จะแชร์ผ่านเครือข่ายไปเรื่อย


6. สื่อผ่านเว็บ อันนี้มีให้เห็นกันง่ายๆ เช่น โลโก้ ภาพเคลื่อนไหว หรือแม้แต่คลิปวิดีโอ ซึ่งตอนนี้การโพสต์คลิปผ่านเว็บ เช่น Youtube หรือ Metacafe นั้นเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น เช่น คลิปเพลง "คันหู" ของวงเทอร์โบที่มีคนเข้าไปดูมากกว่าสิบล้านครั้ง (มากกว่าพี่เบิร์ดหรือปาล์มมี่) ทำให้ใครๆก็รู้จักวงเทอร์โบหรือน้องจ๊ะทั้งบ้านทั้งเมือง


ทำอย่างไรจะได้ผล
ข้อเดียวและข้อสำคัญของสื่อบนสังคมออนไลน์นั้นไม่ใช่ ความสวยงาม ความเก๋ แต่มันคือเครือข่ายของสังคมออนไลน์ต่างหาก คิดง่ายๆว่า ต่อให้เราทำสื่อให้สวยงามโดยใจแค่ไหน แต่เครือข่ายของเรามีแค่หลักสิบหรือร้อย สื่อนั้นก็ไม่มีผลอะไรเท่าไหร่ เราต้องมีพื้นฐานของเครือข่ายบ้าง เช่น ผมเองมีเพื่อน 100 คนในเฟซบุ๊ค ผมโฆษณาออกไปผ่านเฟซบุ๊ค เพื่อนสัก 60% น่าจะได้เห็น และอีกสัก 50% ที่เห็นคงจะแชร์ต่อไปให้เครือข่ายเขาอีกที สรุปว่าประสิทธิภาพของเครือข่ายผมมี 30 คนจาก 100 คน ซึ่งต้องภาวนาให้เครือข่ายของเพื่อนผมนั้นมีประสิทธิภาพสูงที่จะกระจายออกไป


แล้วสื่อบนสังคมออนไลน์มันดียังไง
1. ถูก เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหมือนการมีเว็บไซต์ เพราะแค่ทำสื่อให้เป็น และก็หาแหล่งกระจากสื่อดีๆก็ทำให้เราลดต้นทุนลงไปได้
2. ได้ลูกค้าเน้นๆเนื้อๆ อย่างที่บอกว่าคนที่ติดตามเรานั้นส่วนใหญ่ต้องสนใจเราอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เรานำเสนอไปนั้น 90% จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างแน่นอน
3. Wordwide อย่างที่บอกว่าสังคมออนไลน์นั้นกว้างไกลไปทั่วโลก ไม่ว่าจะคนต่างชาติหรือคนไทยต่างแดนก็สามารถเข้าถึงได้


เกร็ดเล็กๆ
- 47% ของคนใช้ twitter นั้นเข้ามาอ่านข่าวสารมาก ส่วน Facebook นั้นเข้ามาอ่านข่าวเพียง 28% (ข้อมูลปี 2010)
- สื่อสังคมออนไลน์ของ Google นั้นมีมากมาย เช่น Youtube, Blogger, Google+ ซึ่งสามารถสมัครโดยใช้ account เดียวได้เลย

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554