วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

ให้โอทอปของคุณเป็นตัวท๊อป ตอนที่ 3

ให้โอทอปของคุณเป็นตัวท๊อป ตอนที่ 3
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับสองตอนแรก มันอาจจะดูพิธีการมีทฤษฎีเยอะหน่อยนะครับ แต่ผมอยากให้อ่านเอาความรู้ทฤษฎีไปประยุกต์ใช้นะครับ ยังไงเรามาต่อตอนสุดท้ายกันเลยดีกว่


6. ลุยกันเลย หลังจากข้อที่แล้ว เรากำหนดกลยุทธ์ทั้งของธุรกิจและสินค้าไปแล้ว ได้กลยุทธ์ (หรือแผนงาน) แปะไว้ข้างฝาแล้ว ต่อไปคือทำจริง เพราะเขียนกลยุทธ์สุดหรูไปไม่ได้ทำก็เท่านั้น ผมขอยกตัวอย่างการดำเนินการตามกลยุทธ์ ผมอยากยกทฤษฎีการจัดการง่ายๆมาสักทฤษฎี

     6.1 การจัดการโครงการ จากตัวอย่างก่อนหน้า (ลองดูบล็อกก่อนหน้า) ผมบอกว่าปี 2554 ผมจะใช้กลยุทธ์การขยายตลาดไปทั่วภาคกลาง ผมถือว่าโครงการของผมคือการทำอย่างไรก็ได้ให้โครงการผมสัมฤทธิ์ โดยจะต้องคำนึง 3 สิ่งด้วยกัน คือ เวลา (Time) ต้นทุน (Cost) และการดำเนินการ (Performance) ใช่ครับ โครงการเราต้องดำเนินการในปี 2554 ดังนั้นเราต้องกำหนดเวลา เช่น บอกว่าโครงการเราดำเนินการขยายไปทุกจังหวัดในภาคกลาง โดยใช้ระยะเวลาการทำตลาดทั้งสิ้น 6 เดือน (มกราคมถึงมิถุนายน) ดังนั้นถ้าเราไม่สามารถดำเนินเสร็จได้ทันเวลา เราก็อาจไม่สมหวังตามแผนเราก็ได้ ในส่วนของต้นทุน เราต้องจำกัดต้นุทนการขยายตลาด เช่น เรากำหนดว่าต้นทุนการทำตลาดในจังหวัดภาคกลาง ให้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อจังหวัด เราก็ต้องดำเนินการควบคุมงบประมาณดังกล่าวให้ได้ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนเรื่องการดำเนินการ เราก็ต้องวางแผนแต่ละขั้นในการทำตลาด โดยอาจกำหนดขั้นตอน เช่น หนึ่ง ไปหาตลาดในจังหวัดต่างๆ สอง ตกลงค่าใช่จ่ายกับร้านค้าตัวแทนจำหน่าย สาม เริ่มการผลิต สี่ กระจายสินค้าไป ห้า วัดผลการขาย หก ดูผล Feedback จากลูกค้า อะไรประมาณนี้ โดยการทำงานจะต้องสอดคล้องกับเวลาและต้นทุนที่เรากำหนดไว้ สามารถวัดผลประสิทธิภาพได้เพื่อเอาไปใช้ตัดสินใจในปีต่อไปว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง

     6.2 การจัดการโดยใช้ 5M หรือ Man (แรงงาน), Machine (เครื่องจักร), Method (วิธีการ), Material (วัตถุดิบ) และ Measurement การวัดผล เรามาดูกันทีละตัวเลยดีกว่า โดยสมมติว่าผมจะเริ่มขยายการผลิตแล้ว
แรงงาน (Man) ธุรกิจปลาส้มนั้นส่วนใหญ่ใช้แรงงานในการทำ (ผสมสูตรและบรรจุ) เมื่อเรามองบุคลากรแล้ว ถ้าเราเพิ่มการผลิต เราก็ต้องเพิ่มคนด้วย ดังนั้นจะต้องหาแรงงานเข้ามา การสอนงานนั้นสำคัญ ยิ่งการดูแลในส่วนของที่เป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ เช่นสูตรการทำ จะต้องมีการเทรน (สอนงาน) ให้คนเก่าสอนงานคนใหม่ เพื่อต่อไปหากมีใครลาออกหรือเจ็บป่วยจะได้มีคนทดแทน
เครื่องจักร (Machine) หากว่าการเพิ่มกำลังการผลิตนั้นจะต้องใช้คนมาก มากจนต้นทุนคงที่เรามากขึ้น (จำนวนการผลิตไม่มีผลต่อต้นทุน) จนเรารับไม่ไหว เราก็ต้องหาเครื่องจักรมาช่วย เช่น ในการผสมสูตร การแพ็ค (บรรจุห่อ) การขนส่ง (ซื้อรถขนส่งเพิ่มหรือจ้างขนส่ง)
วิธีการ (Method) จะต้องสอดคล้องกับตัวแรงงานและเครื่องจักร คุณต้องฟันธงว่าจะใช้แรงงานหรือเครื่องจักร (ลองดูแล้วพิจารณาจากต้นทุนในด้านต่างๆ) หากเราเน้นการผลิตที่ใช้เครื่องจักร เราอาจเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตใหม่ จัดรูปแบบ แผนผังการผลิต การจัดการแรงงาน อาจะต้องปรับใหม่หมด การผลิตอาจจะต้องเอามาตรฐานสากลเข้ามาจับด้วย เช่น GMP หรืออย่างน้อยผ่าน อย.ก็ยังดี
วัตถุดิบ (Material) อันนี้เป็นประเด็นสำคัญในการเพิ่มกำลังการผลิต เราต้องหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น เช่น เนื้อปลา เกลือและอื่นๆเพิ่มคุณ การเพิ่มวัตถุดิบมากขึ้นอาจทำให้เราได้ต้นทุนลดลง (ซื้อมากๆ เจ้าของจะลดราคาให้) ซึ่งการผลิตของจะเป็นแมส (Mass) มากขึ้น แต่ข้อสำคัญเราจะต้องเข้าไปดูคุณภาพด้วย อย่าให้คุณภาพเราตกเพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะอนาคตไม่แน่ว่าเราอาจได้การสั่งซื้อจากต่างประเทศ ยิ่งต้องทำให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลมากขึ้น
การวัดผล (Measurement) สิ่งสุดท้ายหลังจากทำสี่ข้อที่ผ่านมาคือ การวัดผล วัดผลทั้งสี่ข้อของเรา ว่าแรงงานมีกำลังการผลิตต่อคน (Productivity) เท่าไหร่ พอใจกับตัวเลขนั้นหรือไม่ มีกำลังผลเพียงพอหรือไม่แล้วจะแก้ไขอย่างไร เครื่องจักรมีกำลังการผลิต (Capacity) เพียงพอกับออร์เดอร์ของเราหรือไม่ วิธีการ รูปแบบการผลิตเหมาะสมตามที่คาดหวังแล้วหรือยัง วัตถุดิบมีปัญหาหรือไม่ ฯลฯ
     นี่ก็เป็นการนำหลักการจัดการง่ายๆเข้ามาใช้เพื่อให้เราสามารถดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์และเป้าหมายที่เราวางไว้ ยังมีทฤษฎีการจัดการอีกเยอะแยะที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น หลัก PDCA (Plan Do Check Act) หรือพวกหลัก FIFO LIFO ในการนำวัตถุดิบและสินค้าเข้าออก หรือหลัก SCM (Supply Chain Management) ที่จะนำมาใช้ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ โอยผมพูดไปก็ไม่หมด ลองไปเสริ์ชหาข้อมูลกันนะครับแต่อย่าไปทำตามเป๊ะๆ เราต้องนำมาประยุกต์ใช้เข้ากับธุรกิจของเรา

     สุดท้ายหวังว่าสามวันกับบทความเกี่ยวกับการทำโอทอปของเราให้กลับมาผงานดอีกครั้ง หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ผมเชื่อว่าทุกๆท่านที่เป็นเจ้าของโอทอปอยู่แล้วน่าจะมีไอเดียอยู่แล้วแต่ขอให้ลงมือเถอะครับ ถ้าติดขัด สงสัย ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งต่างๆได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น