วันนี้อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อบทความนะครับ ผมไม่ได้มาเขียนนิยามน้ำแน่นอน วันนี้น้ำดีล้วนแถมแดงไปด้วยเลือดอีกต่างหาก ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงการประกอบธุรกิจในน่านน้ำสีแดง หรือ Red Ocean นั่นเอง
ด้วยทุกวันนี้ระบอบทุนนิยมได้เข้ามามีอิทธิพลกับเราๆท่านๆทุกคน ไม่มากก็น้อย อย่างที่บอกชื่อมันก็ว่าทุนนิยมอยู่แล้ว คือ การเอาทุนมาลงให้เกิดความนิยมในตัวสินค้าหรือบริการ โดยไม่สนผลกระทบต่อเศรษฐกิจเลยว่าจะก่อให้เกิดผลเสียหายยังไง แน่นอนคนที่ได้ประโยชน์คือผู้บริโภคหรือลูกค้า คนที่โดนเต็มๆก็คือผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือกลาง ที่นับวันจะโดนพวกยักษ์ใหญ่ขย้ำกินจนไม่เหลืออะไร ซึ่งระบบทุนนิยทนี้เองทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างสูง สูงมากจนขนาดที่จะรบกันด้วยอาวุธทุกขนาดที่มี อย่างเช่น ทรูมูฟกับดีแทคยื่นฟ้องศาลกันไปมาทั้งในเรื่องการฮั้ว 3G หรือการที่ถือหุ้นโดยต่างชาติ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเล่นกันแรงจริง จนพื้นที่การต่อสู้นั้นเต็มนองไปด้วยเลือด ซึ่งก็ไม่ใช่เลือดของใคร ก็เลือกของคู่แข่งทั้งหลาย
น่านน้ำสีแดง นั้นสามารถอุปมาอุปมัยได้ดังนี้ น่านน้ำก็เหมือนตลาด (ไม่ใช่ตลาดสดนะครับ) ตลาดของอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งมีขนาดและมูลค่ากว้างใหญ่มหาศาลมาก บริษัท ห้างร้านต่างๆก็คือปลาที่แหวกว่ายอยู่ในท้องทะเลนั้น อาจมีปลาขนาดใหญ่และขนาดเล็ก คละเคล้ากันไป เช่น วาฬ ปลาฉลาม ปลาปักเป้า ปลากระพง ปลาเก๋า ดาว สาหร่าย อะไรทำนองนี้ บริษัทขนาดใหญ่ก็เปรียบเสมือนนักล่าที่ล่าปลาขนาดเล็ก ก็คือร้านค้า SME OTOP ที่แหวกว่ายอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งใครตัวใหญ่ ฟันคม กินเยอะก็ออกล่าปลาน้อย น่ารักอย่างนีโม่ไปจนหมดท้องทะเล กินตัวเล็กจนหมด ก็หันมากินกันเอง จนท้องน้ำนั้นมีแต่เลือด ส่วนพวกดาว สาหร่ายก็กลายเป็นผู้ผลิตขั้นต้นของห่วงโซ่อาหาร ก็อาจไม่ได้รับผลอะไรมากมาย แต่เมื่อปลาเล็กปลาน้อยหมดไปทีละนิดๆ ปลาใหญ่ก็จะหันมากินพวกเขานั่นเอง
นี่ก็เป็นการเปรียบเปรยของฝรั่งเขาในการอธิบายการแข่งขันอันดุเดือดของท้องทะเล ซึ่งจากธรรมชาติของท้องทะเลนั้นก็จะมีช่วงมรสุม ช่วงน้ำนิ่ง ช่วงเกิดสึนามิ มันก็เปรียบเสมือนสภาพการแข่งขันที่จะมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่ก็เป็นการอธิบายแบบคร่าวๆ
แล้วตัวเราล่ะ?
หลังจากที่เรารู้จักน่านน้ำสีแดงแล้ว เราก็ลองมาดูตัวเราเองว่าเราเป็นส่วนไหนของท้องน้ำนี้บ้าง เช่น ถ้าเราเป็นผู้ผลิตรายแรกของห่วงโซ่ เช่น เกษตรกร ผู้นำเข้าวัตถุดิบ เราก็เหมือนสาหร่าย แพลงตอนในท้องน้ำที่เป็นรายแรกของห่วงโว่ในทะเล ถามว่าเป็นอาหารแล้วดีหรือไม่ มันก็ตอบได้ว่าดีแน่ เพราะแค่ผลิต ผลิตให้กับปลาเล็กปลาน้อยเรื่อยๆ แต่จะไม่ดีก็ต่อเมื่อมีสาหร่ายบริเวณอื่นๆเพิ่มขึ้นมา จนปลากินไม่ไหว ก็ต้องรอแห้งเหี่ยวตายไป ซึ่งในกรณีเราก็ต้องดูกระแสลมด้วยกว่า ใครเริ่มมาทำเหมือนเราหรือยัง ถ้าเริ่มมี เราต้องหาหนทางใหม่ๆ เช่น กลายเป็นปลาดาวหรือผู้ผลิตอย่างอื่นแทน (หาตลาดและสินค้าใหม่ๆ) หรือไม่ก็กลายเป็นปลาแทน ซึ่งก็ต้องเริ่มจากปลาตัวน้อยๆอย่างนีโม่ก่อน ซึ่งถ้าอยากเป็นนีโม่ตลอดชีวิตก็อาจโดนฉลามกัดจายได้ เราก็ต้องหัดกลายพันธุ์เติบโตธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมาเป็นฉลามแทน เพื่อไว้ฟัดกับฉลามด้วยกัน หรือไม่ก็โตเป็นวาฬแทน เพื่อให้เป็นยักษ์เบอร์หนึ่งในตลาดแทน ซึ่งอย่างที่บอก น่านน้ำแห่งนี้นั้นอันตรายทุกฝีก้าว หากเราว่ายน้ำชิลล์ไม่สนใจการหมุนไปของโลก สักวันต่อให้เราเป็นปลาฉลาม ก็อาจจะโดนปลาที่ใหญ่กว่ากัดเราได้ หรือบางทีก็อาจจะโดนฝูงปลาตัวเล็กรุมกัดได้เหมือนกัน
หาทางหลุดพ้นกันเถอะ
หลังจากหลงไปกัดฟัดกับฉลามด้วยกันมาจนเลือดเลอะหมดตัวเกือบตาย สุดท้ายนั่นก็คือทุกข์ ดังนั้นเราก็หาทางดับทุกข์กันดีกว่า ง่ายๆเลย ถ้าบริเวณที่เราอยู่นั้นหรือธุรกิจที่เราทำนั้นเริ่มเลือดนองเต็มจนไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้เราแหวกว่ายผ่านซากปลาน้อยๆเหล่านั้นไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ดีกว่า ซึ่งคือการเปิดตลาดใหม่หรือธุรกิจแล้วแต่กรณี หรือภาษาทางการหน่อยก็จะเรียกว่า น่านน้ำสีฟ้า (Blue Ocean) น่านน้ำใหม่ที่อยู่ใหม่ที่ไม่ค่อยมีใครมายุ่ง คือเราเริ่มทางเดินของธุรกิจใหม่ ไม่มีใครมาแย่งมาแข่งเอาผลประโยชน์เราไป นั่นล่ะคือหนทางออกที่ดีที่สุด แล้วทำยังไงล่ะ พรุ่งนี้ิติดตามอ่านต่อได้
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านบทความของ SMEfriend นะครับ หวังว่าคงได้ประโยชน์ทั้งสาระและบันเทิงกันไปไม่มาก็น้อย ช่วงนี้ขอเอาใจผู้ประสบภัยทุกท่านด้วย