วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

โชห่วย, "ไม่สู้หรือสู้จนตาย"

ได้ฤกษ์กลับมาเขียนบทความอีกครั้ง หลังจากช่วงที่ผ่านมามีงานเข้า เล่นเอาเหนื่อยพอตัว ประกอบกับการเข้าไปศึกษาเรื่อง SEO (Search Engine Optimization) หรือพูดง่ายๆคือการทำให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในหน้าแรกของ Search Engine ไว้ถ้าทำสำเร็จเมื่อไหร่จะเอามาเขียนให้อ่านอย่างแน่นอน เพราะผมได้ต่อยอดไปสู่ SEM - Search Engine Marketing หรือการตลาดผ่าน search engine

วันนี้ตามสัญญาจากบทความที่แล้วที่่ว่าจะเขียนถึงหนทางช่วยเหลือโ๙ห่วยต่อสู้กับค้าปลีกขนาดเล็กอย่าง บิ๊กซี จูเนียร์ หรือ โลตัสเอ็กซ์เพลส รวมถึงสะดวกซื้ออย่าง 7-11 วันนี้ผมขอเอาใจช่วยโชห่วยไทย

เริ่มต้นกันเลย

1. สำรวจตัวเองก่อน ก่อนอื่นเรามามองตัวเองก่อนว่าอะไรทำให้ลูกค้าไม่เข้าร้านเรา โดยการทำ SWOT หรือการวิเคราะห์ภายในและภายนอกร้านของเรา หาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสที่จะเกิดขึ้นและภัยคุกคามที่สามารถเกิดขึ้นกับร้านคุณได้ ตัวอย่างเช่น การหาจุดแข็ง ได้แก่ การมีสัมพันธไมตรกับลูกค้า ราคาสินค้าบางอย่างขายถูกกว่าที่อื่นๆ คิดเงินเร็วไม่มั่ว ฯลฯ การหาจุดอ่อน เช่น หาสินค้ายาก สินค้าขาดบ่อยๆ ร้านค้าไม่น่าเข้ามาซื้อ ฯลฯ ส่วนเรื่องโอากสนั้น ได้แก่ เรื่องที่จอดรถ ที่ตั้งของร้าน การเดินทาง อะไรทำนองนี้


2. สำรวจคู่แข่ง ใช่ครับ ผมแนะนำให้เจ้าของโชห่วยออกมาจากร้าน แล้วมุ่งไปดูคู่แข่งของคุณเช่น 7-11 โลตัสเอ็กซ์เพลส ไปดูเขาแบบว่ารู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สิ่งที่เราจะเข้าไปดูนั้นผมขอกำหนดหัวข้อไว้ 5-6 หัวข้อนะครับ

     1) Man หรือแรงงาน ดูว่าเขามีการจัดสรรแรงงานยังไง ทำไมเปิด 24 ชั่วโมงได้ เข้ากี่กะ จำนวนเท่าใด ต้นทุนแรงงานต่อวันกี่บาทแล้วการบริการของแรงงานเป็นอย่างไร สิ่งที่เป็จนจุดบอดของพนังาน 7-11 หรือโลตัสคือการบริการ เนื่องจากว่าเป็นการจ้างแรงงานมา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีพื้นฐานด้านมารยาทและ Service Mind ต่างกันทำให้หลายๆครั้งแรงงานของร้านสะดวกซื้อมักจะมีกริยาไม่เหมาะสม เช่น โมโห หงุดหงิดง่าย ไม่สนใจลูกค้า

     2) Machine หรือเครื่องมืออุปกรณ์ ข้อดีของร้านพวกนี้คือการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการทั้งการเงิน สินค้าคงเหลือ ซึ่งร้านโชห่วยเองจะมีจุดอ่อนทางด้านนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งจะต้องนำมาประยุกต์ เช่น ร้านสะดวกซื้อนั้นมีระบบบาร์โค้ดเอาไว้ในการจัดการด้านการเงิน ซึ่งถามว่าโชห่วยทำได้มั้ย ผมตอบเลยว่าได้ แต่การลงทุนครั้งแรกมันสูง หลายๆผู้ประกอบการนั้นจะเห็นว่าเป็นเงินค่อนข้างสูง แต่ลองมองระยะยาวจะรู้ว่ามันคุ้มมาก ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาระบบบาร์โค้ดนั้นราคาถูกลงมาก หรือถ้าหากไม่อยากใช้ระบบบาร์โค้ด ผมแนะนำว่าใช้แค่การแปะป้ายบอกราคาสินค้าให้ครบก็พอ เพราะหลายๆครั้งร้านโชห่วยนั้นจะมั่วมากกับราคาสินค้า ซึ่งการแปะราคาสินค้าจะช่วยให้การคิดเงินเร็วขึ้น แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยว่าท่ายหลีกหนีเทคโนโลยีไม่พ้นหรอก เพราะอย่างห้องวอลมาร์ท นั้นใช้การแสกนสินค้าด้วย RFID  ซึ่งทำให้ใช้แรงงานในการคิดเงินน้อยลง ทำให้ลดต้นทุนด้านแรงงานลงไปได้มากและถูกต้องในการคิดราคาด้วย

     3) Method หรือวิธีการ ในที่นี้ผมหมายถึงการดำเนินธุรกิจตั้งแต่การนำสินค้าเข้าร้านจนถึงการใส่ถุงกลับบ้าน เนื่องจากร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จะได้เปรียบเราในต้นทุนสินค้าที่ถูกมากๆ (ขูดเลือดจากผู้ผลิตมา) ดังนั้นเราต้องมองให้มันเป็นโอกาสของเรา เช่น เรารู้ว่าพวกร้านใหญ่ซื้อมาจากผู้ผลิตรายใหญ่ๆมา เราก็ไปหาผู้ผลิตขนาดเล็ก ซึ่งมีมากมาย ลองคุยดู ผมเชื่อว่าเรายอมขายในราคาถูกแน่ เพราะเขาก็ต้องการช่องทางการจัดจำหน่ายเหมือนกัน ตลอดจนการทำการตลาดของร้านโชห่วย บางครั้งเราอยู่ในมุมอับมากเกินไป ทำให้คนไม่ค่อยรู้จักมาก ดังนั้นเราต้องโปรโมตตัวเองให้คนในสังคมรู้ว่าเราขายของ เรามีตัวตน เราขายของไม่แพง เรามีร้านน่าเข้า การโฆษณาผ่านป้ายตามจุดต่างให้คนทั่วไปได้รู้ อะไรทำนองนี้ ในส่วนการขายนั้นโชห่วยจะมีจุดบอดด้านการจัดวางหรือการนำเสนอสินค้า ซึ่งเราต้องกลับมาปรับที่ตัวเราเอง เช่น จัดวางเป็นหมวดหมู่ นำเสนอสินค้ายอดนิยมให้คนเห็นได้ชัด อย่างนี้เป็นต้น

     4) Material ซึ่งหมายถึงวัตถุดิบ ซึ่งก็คือสินค้าที่เรานำมาขายนั้นเอง ซึ่งตรงนี้ล่ะเราสามารถนำมาสร้างความแตกต่างได้ เช่น ถ้าแถวท้องถิ่นนั้นมีสินค้าโอทอปที่เกี่ยวกับของอุปโภคบริโภคมาก เราก็ไปนำมาตั้งขายได้ สร้างความหลากหลายให้กับร้าน เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุน สามารตกลงเป็นสินค้าฝากขายได้

3. ปรับปรุงตัว ปรับปรุงกลยุทธ์ หลังจากที่เรามองดูตัวเองหาจุดเด่น จุดด้อยแล้ว มองดูคู่แข่งเพื่อหาข้อเปรียบเทียบกับธุรกิจของเรา แล้วเราก็นำจุดบอดของเขามาใส่ไว้ในธุรกิจเรา เท่านี้เราก็สามารถต่อสู้กับร้านค้าขนาดใหญ่ได้แล้ว

นี่ก็เป็นหลักการคร่าวๆที่ผมขอแนะนำโชห่วยไทยแลนด์ทั้งหลาย ลองเอาแนวคิดคร่าวๆไปปรับดูนะครับ ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะพอทำให้ธุรกิจของคุณดีขึ้น อาจจะ "สู้เขาไม่ได้ หรือจะยอมอยู่อย่างซังกะตายล่ะ" ใช่มั้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น