ก่อนอื่นผมต้องเกริ่นก่อนว่าที่เขียนบทความนี้เพราะตอนแรกเล็งเห็นประโยชน์ของชาวโอทอปที่ตอนนี้กำลังจะเป็นผีตายซาก ซึ่งคิดไปมาคิดมาก็เลยรู้ว่าตอนนี้โอทอปนั้นก็เป็น SMEs ด้วยเหมือนกัน
โอทอป หรือที่เราเรียกว่า หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ONE TAMBON ONE PRODUCT (OTOP) ที่เกิดขึ้นมาสมัยสักเกือบสิบปีสมัยรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร ที่ได้เห็นประเทศญี่ปุ่นซึ่งทำโอทอปในท้องถิ่นหลายสิบปี จึงกลับนำมาใช้กับพี่น้องรากหญ้าคนไทยเพื่อหวังจะให้ชาวท้องถิ่นที่มีภูมิปัญญาได้ใช้ความรู้เหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจบ้าง ซึ่งก็ได้ผลเพราะเมื่อมีโอทอปและกองทุนหมู่บ้าน 1,000,000 บาทต่อหมู่บ้าน ทำให้รากหญ้าได้ลืมตามอ้าปากได้ จนเกิดการจัด OTOP Expo ที่อิมแพค เมืองทอง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ของจากรากหญ้าได้นำมาเสนอสู่สายตาคนเมือง จนมีการจัดอันดับโอทอป 1-5 ดาวแล้วแต่คุณภาพ ซึ่งถ้าเป็นโอทอประดับห้าดาวก็ได้นำไปเสนอขายต่างประเทศได้เงินดอลล่าร์กลับมารวยกันเป็นแถว แต่หลังจากการรัฐประหาร เปลี่ยนนายกฯเปลี่ยนนโยบาย โอทอปของไทยกลายเป็นผู้ไร้ทิศทาง โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้น ทุนไม่มีไม่รู้จะไปหาที่พึ่งยังไง ก็ต้องปิดกิจการไป จนถึงรัฐบาลนายกฯมาร์ค ที่เปลี่ยนเอาโอทอปขึ้นสยามพารากอนสร้างความฮือฮามาก เพราะเป็นที่รู้กันว่าย่านนั้นมีนักท่องเที่ยวมาก แต่กลับผิดคาด เนื่องจากโอทอปในแต่ละปี คนทั้งประเทศรู้กันว่าจัดที่อิมแพค เมืองทอง ซึ่งใหญ่และมีที่จอดรถมาก แต่พอไปจัดที่พารากอน ทำเอาคนทั้งประเทศด่ากันระงม จนมาถึงรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งไม่ได้พูดถึงโอทอปมาก แต่คงให้ความสำคัญเพราะเป็นนโยบายที่รากหญ้าสัมผัสได้
รู้ถึงความเป็นมาของโอทอปแล้ว ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีสินค้าห้าดาว ซึ่งถ้าสนใจก็เข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.otoptoday.com/ ซึ่งจะเป็นแหล่งรวมโอทอปที่อัพเดทข้อมูลล่าสุดแหล่งสุดท้าย (เว็บอื่นๆตายไปกับโอทอปแล้ว) ผมเป็นคนเที่ยวมาเยอะ ภาคเหนือ อีสาน ใต้ ภาคกลาง ไปไหนก็ได้เห็นโอทอปแต่ละจังหวัดทั้งหัตถกรรม งานฝีมือ อาหาร ขนม สารพัดมากมาย ซึ่งที่ผมเขียนถึงโอทอปวันนี้ ผมจะเน้นกลยุทธ์ที่จะผลักดันให้โอทอปไทยไปไกลโดยไม่ต้องไปง้อภาครัฐ โดยทำตามขั้นตอนที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
1. ตั้งสติ ลืมอดีต พัฒนาสินค้า ใช่ครับ อะไรที่มันแย่ให้มันแล้วๆไป แล้วกลับมามองข้อผิดพลาดตัวเองว่าสาเหตุใดที่ทำให้สินค้าของเราอยู่กับที่ ไม่พัฒนาสู้คนอื่นได้ ผมแนะนำหลักง่ายๆในการหาสาเหตุและการแก้ไขคือการวิเคราะห์ SWOT หรือการวิเคราะห์ปัจจัยภายตัวเราในได้แก่ จุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) และปัจจัยภายนอกตัวเรา ซึ่งมีภัยคุกคาม (Threat) และโอกาสที่จะเกิดขึ้น (Opportunities) หลังจากวิเคราะห์ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เราจะรู้เลยว่าเราต้องแก้ไขอะไรบ้าง (จากจุดอ่อน) และหาโอกาสในการค้าและหนทางป้องกันที่จะเกิดขึ้น (จากโอกาสและภัยคุกคาม) หลังจากรู้สาเหตุและปัจจัยต่างๆแล้วเราก็นำกลับมาพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งบางสาเหตุอาจใช้เวลามาก หรือเวลาน้อย ต้นทุนมากน้อย เราก็ต้องพยายามกันไป อะไรที่เราทำไม่ได้ก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วย ซึ่งหน่วยงานรัฐท้องถิ่น มีนักวิชาการมากมายคอยให้คำแนะนำ
2. รักษาลูกค้าเดิม หาลูกค้าใหม่ กลับมาดูบัญชีรายชื่อลูกค้า ดูว่าใครยังคบค้าสมาคมกับเราบ้างและรายไหนหายไป โทรติดต่อกลับไปบอกเขาว่าเรากลับมาแล้ว อาจเป็นการแจ้งทางโทรศัพท์ อีเมลหรือจัดงานอีเวนท์เล็กๆและเชิญเขามาร่วมงานเพื่อให้เขารับรู้ว่าพร้อมและมีศักยภาพเพียงพอ ส่วนลูกค้าใหม่ผมแนะนำวิธีทางอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ (มีแล้วหรือยัง) แจ้งข่าวผ่านเว็บบอร์ดต่างๆ เช่น Pantip.com หรือผ่านทางสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ สร้างโฆษณาเข้าไป ไม่ช้าลูกค้าจะรู้จักเรามากขึ้นแน่ เพราะอินเตอร์เน็ตเหมือนไฟลามทุ่ง แป๊บเดียว ยิ่งเราทำเว็บไซต์ข้อมูลดีๆ ภาพประกอบให้ตัดสินใจ รับรองไม่ช้าก็มีคนติดต่อเข้ามา
นี่ก็ผ่านไปแค่สองข้อเท่านั้น เรื่องโอทอปกับผมนั้นอีกยาว ลองติดามพรุ่งนี้ดูล่ะกันนะครับ รับรองลงลึกเข้าไปอีกแน่ สู้ๆนะครับชาวโอทอปและ SMEs
นี่ก็ผ่านไปแค่สองข้อเท่านั้น เรื่องโอทอปกับผมนั้นอีกยาว ลองติดามพรุ่งนี้ดูล่ะกันนะครับ รับรองลงลึกเข้าไปอีกแน่ สู้ๆนะครับชาวโอทอปและ SMEs
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น